แม้ว่าผู้นิพนธ์พระวรสารจะไม่เรียกอย่างแจ่มแจ้งว่า เรื่องที่พระเยซูเจ้าได้ทรงตรัสสอ
นนั้นเป็นนิทานเปรียบเทียบ ถึงกระนั้นก็ดี ท่านก็ได้ใส่เรื่องนี้ไว้ในชุดเรื่องนิทานเปรียบเทียบ และเรื่องนี้ก็มีลักษณะคล้ายนิทานเปรียบเทียบด้วย พระเยซูเจ้าได้ทรงเล่าเรื่อ
งนี้ให้ฟาริสีฟังในโอกาสที่เขาเชิญพระองค์ไปรับประทานอาหาร
เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหาร การเชื้อเชิญแขกให้มาทานเลี้ยง เป็นเครื่องหมายถึงการมีน้
ำใจดีและมิตรภาพ และเป็นสิ่งที่ทำกันนับแต่เริ่มมีมนุษย์ แต่น่าเสียดายที่บางครั้งกิจการอันน่าเลื่อมใสและที่เป็นเครื่องหมายของเมตตาจิตนี้ต้องเปื้อนหมองไป เพราะการเ
ห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว หรือเพื่อให้แขกเชิญเราเป็นการตอบแทน เพราะฉะนั้น พระอาจารย์เจ้าจึงได้ตรัสกับชาวฟาริสีว่า
อย่าเชิญมิตรสหาย พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี แขกที่พระเยซูเจ้าได้พบเห็นในวันนั้นเป็นเพื่อน ญาติพี่น้องของเจ้าภาพทั้งนั้น ที่เขาเ
ลือกเชิญเฉพาะคนรวยๆ ก็เพื่อจะให้พวกนั้นเชื้อเชิญเขาเป็นการตอบแทนบ้างในโอกาสต่อไป เพราะฉะนั้น การจัดงานเลี้ยงจึงไม่ใช่มาจากเมตตาจิตอย่างแท้จริง แต่เพื่อผลประโยชน์มากกว่า
จงเชิญคนยากจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด คนที่ต้องการความช่วยเหลือ และคนที่ไม่มีทางจะเชิญเขาเป็นการตอบแทน และนี่แหละคือเมตตาจิตอย่างแท้จริง เพราะเขาทำไปโดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
แล้วท่านจะเป็นสุข กิจการเช่นนี้เป็นความรักอย่างแท้จริง และสมจะได้รับพระพรและบำเหน็จจากพระเจ้า
เพราะคนเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดตอบแทนท่านได้ เนื่องจากพวกเขายากจน จนไม่มีทางจะตอบแทนผู้มีพระคุณได้เลย
เมื่อผู้ชอบธรรมจะกลับคืนชีวิต เราทุกคนจะถูกตัดสินและจะได้รับรางวัลหรือต้องโทษในวันที่เราสิ้นใจ แต่ในวันสิ้นพิภพนั้น บาบาป บุ
ญ คุณ โทษ ของเราจะปรากฏแก่คนทั่วไปสำหรับผู้ชอบธรรมเป็นวันที่เขาจะได้รับเกียรติอย่างสูงส่ง แต่สำหรับคนบาป จะเป็นวันที่น่าอัปยศอดสูเป็นที่สุด
|