ชาวฟาริสีคนหนึ่งได้เชื้อเชิญพระองค์ให้ทานเลี้ยงในเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี พวกเขาไ
ด้เคยสังเกตแล้วว่าพระองค์ทำตัวเป็นเพื่อนของคนบาปและคนเก็บภาษี และเพราะเหตุนี้เองแหละ พระองค์จะเป็นพระเมสสิยาห์ไม่ได้ตามความคิดของพวกเขา อย่างไรก็ตาม แม้
พวกเขาจะมีความคิดขัดแย้งกับพระองค์ ถึงกระนั้นก็ดี พวกเขาก็ยังไม่ได้เกลียดพระองค์อย่างรุนแรง และเนต้นนอกกรุงเยรูซาเล็ม ชาวฟาริสีอีกหลาคนต้องการทราบรายละเอีย
ดเกี่ยวกับความประพฤติของพระองค์เพิ่มขึ้นด้วย บางทีเพราะเหตุนี้แหละฟาริสีจึงได้เชิญพระองค์มาทานอาหารกับเขา เขาคงต้องการถามพระองค์หลายอย่าง และในห้องอาหารที่บ้านของเขา เขาคงมีโอกาสสนทนาและซักถามพระองค์เป็นการส่วนตัว
พระเยซูเจ้าตอบรับคำเชิญนั้น เพราะว่าพระองค์ไม่เคยปล่อยให้โอกาสผ่านไปเลย ถ้าหากว่าพระองค์มีโอกาสจะนำข่าวดีไปสู่มนุษย์และเชื้อเชิญให้เขากลับใจ ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะเป็น
ฟาริสี หรือคนเก็บภาษีก็ตาม แต่เนื่องจากมีสตรีเข้ามาขัดจังหวะในงานเลี้ยง ซีมอนจึงไม่มีโอกาสถามปัญหาต่างๆ ตามที่ตั้งใจไว้ อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้รับคำตอบที่สำคัญที่สุด ประการหนึ่งเกี่ยวกับภารกิจของพระเยซ
ูเจ้า กล่าวคือ พระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยให้คนบาปได้กลับใจ
หญิงที่อยู่ในเมืองเป็นคนบาป เนื่องจากนางเป็นคนบาปโดยเปิดเผย เข้าใจว่าคงจะเป็นหญิงงามเมือง
เมื่อนางทราบว่าพระเยซูเจ้านั่งทานเลี้ยงในบ้านของฟาริสี หญิงคนบาปผู้นี้คงได้ทราบมาแล้วว่าพระเยซูเจ้าเคยเทศน์เรียกร้องใ
ห้คนบาปกลับใจ และพระองค์ทรงมีพระทัยเมตตาต่อคนบาป นางก็ได้เชื่อในพระองค์และได้กลับใจอย่างแท้จริง ละทิ้งความประ
พฤติไม่ดีเสีย นางมีโอกาสที่จะแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ นางจึงได้บังอาจเข้าไปหาพระเยซูเจ้า แม้ชาวฟาริสีจะจ้องมองก็ไม่สะทกสะท้าน ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงความรักและกตัญญูต่อพระองค์
ขวดหินขาวบรรจุน้ำมันหอม เธอต้องการจะชโลมพระบาทของพระเยซูเจ้าด้วยน้ำมันหอม คนรวยมักจะใช้น้ำมันหอมนี้ชโลมศีรษ
ะในโอกาสที่สำคัญๆ เพื่อที่จะทำให้ผมมีกลิ่มหอม ฉะนั้น การใช้น้ำมันหอมมาชโลมเท้าจึงถือว่าเป็นการฟุ่มเฟือยโดยเปล่าประโยชน์
นางเอาผมเช็ดและจูบพระบาท นางได้สำนึกในความผิดพลาดของตนในอดีต ได้ร้องไห้อย่างขมขื่นแทบเท้าของพระเยซูเจ้า แล
ะเนื่องจากนางไม่มีผ้าเช็ด นางจึงได้ใช้มวยผมเช็ดเท้าของพระองค์ และได้ลูบพระบาทด้วยความศรัทธาเลื่อมใส จากนั้นนางก็ได้ชโลมพระบาทด้วยน้ำหอมนั้น
ชาวฟาริสีที่เชิญพระองค์มาเห็นดังนี้ ชาวฟาริสีรู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เพราะไม่เคยนึกเลยว่าพระเยซูเจ้าจะปล่อยให้นา
งทำเช่นนั้น ทั้งนี้ก็เพราะว่า แม้แต่เวลาเดินไปตามถนน เขามักจะพยายามไม่ใหเสื้อผ้าของเขาไปแตะต้องคนบาป แต่นี่หญิงชั่ว
ผู้นี้ใครๆ ก็รู้จัก ไม่ใช่แต่แตะต้องเท่านั้น แต่ได้ลูบพระบาทของคนที่อ้างว่าเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ แกล้งทำเป็นว่าตนเป็นพระเมสสิยาห์
แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าหญิงผู้นี้เป็นใครมาจากไหน และแม้ว่าพระองค์รู้จริงๆ พระองค์ก็ไม่น่าปล่อยใหคนบาปทำเช่นนั้นกับพระองค์
ซีโมน เรามีเรื่องจะพูดกับท่าน ซีโมนและเพื่อนๆ ไม่ได้วิพากวิจารณ์พระองค์อย่างเปิดเผย แต่พระองค์ต้องการแสดงให้พวกเข
าเห็นว่าพระองค์สามารถที่จะอ่านจิตใจของพวกเขาได้ เพราะเหตุนี้พวกเขาควรจะรับทราบไว้ด้วยว่าพระองค์เป็นประกาศก
เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้อยู่สองคน อาศัยการเปรียบเทียบ พระเยซูเจ้ามีพระประสงค์จะป้องกันตัวเองและป้องกันสตรีผู้นั้น และในเ
วลาเดียวกัน ก็ต้องการตำหนิซีโมนที่ขาดสมบัติผู้ดีในการต้อนรับพระองค์ ข้อบกพร่องของตัวเองมองไม่เห็น เห็นแต่ความผิดของหญิงคนชั่ว
คนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าร้อยเหรียญ อีกคนหนึ่งเป็นหนี้อยู่ห้าสิบเหรียญ หนึ่งเหรียญในสมัยของพระเยซูเจ้ามีค่าเท่ากับแรงกรรมกรหนึ่งวัน ในที่นี้พระองค์ต้องการเน้นว่าคนหนึ่งเป็นหนี้มากกว่าอีกคนหนึ่งถึงสิบเท่า
ทั้งสองคนไม่มีอะไรจะใช้หนี้ ลูกหนี้สองคนทำหนี้สินไว้มากใช้ได้ แต่เจ้าหนี้เป็นคนมีเมตตาจิต เมื่อคิดว่าลูกหนี้สองคนไม่มีทาง
ที่จะจัดหาเงินมาชำระหนี้ได้ในขณะนั้นและอนาคต เขาก็ยกหนี้ให้ทั้งหมดอย่างใจกว้าง พระเยซูเจ้าจึงถามซีโมนว่าลูกหนี้คนไหนรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน และซีโมนได้ตอบอย่างถูกต้องว่า คนที่เจ้าหนี้ยกหนี้สินให้มากกว่า
พระองค์ทรงผินพระพัตกร์มาทางหญิงผู้นั้น ตรัสกับซีโมนว่า พระเยซูเจ้าจึงประยุกต์เรื่องที่เล่าโดยเปรียบเทียบการกระทำของผู้
หญิงคนนั้น และการต้อนรับของซีโมน พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของซีโมนในฐานะที่เป็นแขก ตามธรรมเนียมชาวยิวที่เป็นเจ้
าของบ้านจะต้องล้างเท้า ที่จะจูบเพื่อต้อนรับและเจิมศีรษะแขกผู้มีเกียรติด้วยน้ำมันหอม ซีโมนไม่ได้ทำอะไรเลยกับพระเยซูเจ้า
ตามที่กล่าว ทั้งนี้เพราะเขาไม่ได้ถือว่าพระองค์เป็นแขกที่มีเกียรติ ไม่ได้ถือว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ ส่วนหญิงคนนั้นได้ล้า
งเท้าพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ด้วยน้ำธรรมดา แต่ด้วยน้ำตา และได้จูบพระบาทนับครั้งไม่ถ้วน และได้ชโลมพระบาทไม่ใช่ด้วยน้ำมันธร
รมดา แต่ด้วยน้ำหอมที่มีค่าที่นางอาจหาได้ เพราะฉะนั้นเรากล่าวแก่ท่านว่า พระเยซูเจ้าสรุปนิทานเปรียบเทียบให้ซีโมนฟัง กล่า
วคือ หญิงผู้นั้นไม่ใช่คนบาปตามที่เขาคิดต่อไปแล้ว พระองค์ได้อภัยบาปให้แก่เขาแล้ว เพราะว่านางได้สำนึกถึงหนี้สินมากมายที่
พระองค์ได้ทรงยกให้นาง จึงได้แสดงความรักอันใหญ่หลวงและสำนึกในพระคุณ โดยการชโลมพระบาทของพระองค์ด้วยน้ำหอมและน้ำตา
ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็ย่อมรักน้อย ตรงกันข้าม ซีโมนคิดว่าตนเองมีบาปน้อยหรือมีหนี้สินน้อยต่อพระเป็นเจ้า เพราะชาวฟาริสีต่า
งก็มีความคิดนี้เหมือนกัน คือพวกเขาไม่ใช่คนบาปหนา เขาจึงเป็นหนี้พระเป็นเจ้าและพระเยซูเจ้าน้อย เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นก
ารต้อนรับอันชาเย็นของเขาต่อพระเยซูเจ้า เมื่อเปรียบเทียบกับความกตัญญูและความรักอย่างสุดซึ้งของหญิงคนบาป ซึ่งรู้และย
อมรับตัวเป็นคนบาป และได้ทำหนี้สินไว้กับพระเป็นเจ้ามากมาย ฉะนั้นนางจึงได้แสดงความกตัญญูกตเวทีถึงเพียงนั้น
บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว พระเยซูเจ้าทรงประกาศว่าบาปของนางได้ถูกยกแล้ว แน่นอน นางจะต้องได้รับความบรรเทาใจอ
ย่างใหญ่หลวงจากคำพูดของพระองค์ ในเวลาเดียวกันก็เป็นข้อพิสูจน์สำหรับซีโมนด้วยว่า พระเยซูเจ้ามิใช่แต่เป็นเพียงประกาศ
กธรรมดาเท่านั้น ซึ่งซีโมนก็เคยสงสัย แต่ใหญ่กว่าประกาศก เพราะพระองค์ทรงทราบถึงส่วนลึกในหัวใจของคนบาป และประกา
ศว่านางไม่มีบาปแล้ว ยิ่งกว่านั้นอีก พระองค์ก็ยังได้ทรงสอนในนิทานเปรียบเทียบว่าพระองค์ได้ทรงยกหนี้สินอันมากมายให้แก่นาง
บรรดาผู้ร่วมโต๊ะจึงเริ่มพูดกันว่า เมื่อชาวฟาริสีได้ยินเช่นนั้นก็แปลกใจ เพราะคำพูดของพระองค์นั้นแสดงว่าพระงอค์มีอำนาจยก
บาปได้ พระองค์อวดอ้างว่าเป็นพระเป็นเจ้าหรือ พระองค์เป็นใครกันจึงบังอาจเช่นนี้ เพราะพวกเขาทราบดีว่า เฉพาะพระเป็นเจ้
าเท่านั้นมีอำนาจยกบาปได้ ที่จริงพระองค์ก็เป็นตามที่เขาคิด คือพระองค์เป็นพระเป็นเจ้า และพระองค์ก็มีพระประสงค์ให้เขารับทราบเรื่องนี้ด้วย
ความเชื่อของเจ้าได้ช่วยเจ้าให้รอดพ้นแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ก็แสดงให้เห็นว่าหญิงคนบาปที่พวกเขาประมา
ทนั้นสูงกว่าพวกเขาเสียอีก นางได้เชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ไถ่ซึ่งยกบาป (ยน 1:29) นางเชื่อว่าพระองค์ทรงพระทัยเมตตาและมี
อำนาจที่จะยกบาปของนางได้ แม้นรางจะมีบาปมากมายและหนักเพียงไรก็ตาม ขอแต่ให้นางสำนึกในความผิดก็พอ นางได้สำนึกผิดและนางก็ได้รับอภัยโทษทั้งหมด พระองค์จึงตรัสว่าให้นางไปในสันติสุข สันติสุขกับพระเป็นเจ้าและกับตัวเอง
|