ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องเศรษฐีที่โง่เขลา พระเยซูคริสตเจ้าทรงมีพระประสงค์จะสอนเรา
ว่า ช่างเป็นการโฉดเขลาเบาปัญญาจริง ๆ ที่การที่เศรษฐีผู้นั้นได้สละทั้งกำลังกายและทุ่มเทเวลาทั้งหมดเพื่อแสวงหาทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก แต่ไม่ได้สนใจที่จะสะสมทรัพย์สมบัติฝ่าย
สวรรค์ พระเยซูเจ้าได้ทรงตักเตือนผู้ที่สมัครใจติดตามพระองค์ว่า เราขอบอกท่านว่า อย่าสาละวนแต่ชีวิตของท่านว่า ท่านจะกินอะไร หรือวิตกกังวลเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่า ท่า
นจะเอาอะไรมานุ่งห่ม ชีวิตนั้นสำคัญมากกว่าเนื้อ (อาหาร) และร่างกายก็มีค่ามากกว่าเครื่องนุ่งห่ม (ลก12:22-23)
หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบอีกสามเรื่องเพื่อชี้ให้บรรดาสานุศิษย์เห็
นความจำเป็นในการตื่นเฝ้าระมัดระวัง เพื่อว่าเขาจะได้เตรียมพร้อมในวันพิพากษา เนื่องจากนิทานเปรียบเทียบทั้งสองเรื่องแรกนี้ สอนเรื่องเดียวกัน เราจะศึกษาทั้งสองบทควบคู่กันไป
จงคาดเอว เสื้อผ้าที่ชาวยิวทั้งชายหญิงสวมใส่สมัยพระเยซูคริสตเจ้า และแม้กระทั่งสมัยนี้ เราก็ยังพบที่ประเทศปาเลสไตน์ และปร
ะทศอาหรับว่าเป็นเสื้อยาวจรดพื้น และปล่อยไว้รุ่มร่าม ถ้าหากเขาต้องการทำงานหรือออกเดินทาง เขาก็ถลกชายเสื้อขึ้นมาผู้ไว้รอ
บเอว และใช้เข็มขัด (1) คาดอีกทีหนึ่ง เพื่อให้ทะมัดทะแมงและไม่รุ่มร่ามในการทำงานหรือออกเดินทาง แต่ถ้าหากเขาอยู่ในบ้า
นและไม่ได้ทำอะไร เขาก็ปล่อยชายเสื้อตามสบายและไม่ได้คาดเข็มขัด เพราะฉะนั้น ความหมายของคำสั่งก็คือ ให้เตรียมพร้อมที่จะทำงานเสมอ
ตะเกียงที่ลุกอยู่ สมัยนั้นไม่มีไฟฟ้า ชาวบ้านต้องใช้ตะเกียงจุดเพื่อให้มีแสงสว่าง ปกติเป็นตะเกียงเล็กๆ ใช้น้ำมันพืช ไส้ตะเกียงท
ำด้วยด้าย บ้านคนที่มีเงินมักจะมีตะเกียงหลายดวง และต้องเอาใจใส่เวลาจุดไว้ด้วย เพราะอาจดับได้ เนื่องจากไส้ตะเกียงไม่สู้ดี
และท่านเองก็เป็นเหมือนกับคนที่รอนาย เมื่อกลับจากงานวิวาห์ เมื่อหายไปในงานแต่งงาน พวกคนใช้ก็ต้องรอคอยนายว่าจะกลับม
าเมื่อไร จะได้เตรียมตัวเปิดประตูให้ การแต่งงานหลาย ๆ ครั้งยืดเยื้อไปจนถึงดึกดื่นหรือเลยเที่ยงคืนไปอีก ฉะนั้น นายจึงไม่สามา
รถจะบอกล่วงหน้าว่าตัวจะกลับเมื่อไร เพราะสุดแล้วแต่เหตุการณ์ ฉะนั้น คนใช้จะต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
เป็นบุญของคนใช้ซึ่งเมื่อนายกลับมาจะพบเขากำลังตื่นเฝ้าอยู่ คนใช้ที่เตรียมพร้อมอยู่เสมอจะได้รับคำขอบใจ คำสร
รเสริญจากนาย และมากกว่านั้นอีก
เขาจะคาดสะเอวและรับใช้พวกเขา แทนที่นายจะสั่งให้คนใช้ปรนนิบัติเขา เขาจะให้พวกคนใช้นั่งโต๊ะรับประทานอาหาร เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณต่อคนใช้
เจ้านายในโลกนี้อาจจะไม่ทำตามที่พระองค์ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบนี้ แต่ว่าพระบิดาเจ้าสวรรค์จะทำต่อคนใช้ ข้ารับใช้พระองค์
ถ้าหากพระองค์ทรงเห็นว่าพวกเขาพร้อมที่จะปรนนิบัติพระองค์อยู่เสมอ และถ้าหากนายจะมาในยามที่สองหรือในยามที่สาม พระอง
ค์จะทรงเชื้อเชิญให้เขาได้เข้าไปทานเลี้ยงในอาณาจักรสวรรค์ และพระองค์จะทรงเป็นเจ้าภาพ นายจะมาถึงในเวลาใดไม่แน่ ฉะนั้
น พระองค์ต้องการเน้น ความไม่แน่นอน ในการกลับมาของนาย แต่าคนใช้จะต้องตื่นเฝ้า ไม่ง่วงนอน (มก 13:36) และเขาจะเ
ป็นผู้มีโชค ชาวโรมันแบ่งกลางคืนออกเป็น 4 ยาม และแต่ละยามยาว 3 ซม. และชาวปาเลสไตน์ก็ได้ใช้วิธีนับแบบนี้ด้วยในสมัยพระเยซูคริสตเจ้า
นักบุญมาระโก บอกว่า นายจะกลับมาถึงในเวลาใดก็ได้ ส่วนนักบุญลูกา บอกว่า นายอาจจะกลับมาเวลาสองยามหรือสามยามก็ได้
คือระหว่าง 21.00 น. จนถึงตีสามเช้ามืด เวลาระหว่าง 9 โมงกลางคืนจนถึงตี 3 เป็นเวลาที่เรามักจะง่วงนอนง่าย ๆ ฉะนั้น พระอ
งค์จึงมีพระประสงค์ต้องการจะเน้น การตื่นเฝ้า และคุณงามความดีของคนใช้ที่ตื่นเฝ้าอยู่เสมอ
|