ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องบุตรสองคน มธ 21:28-32 พระเยซูคริสตเจ้
าได้ตรัสกับพวกฟาริสีว่า พวกเขาเป็นบุตรที่ไม่นบนอบต่อพระเป็นเจ้า และดังนี้เขาก็ไม่มีส่วนในมรดกของพระองค์ ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ พระองค์ต้องการจะ
ตรัสกับเขาว่า พวกเขานั้นมิใช่แต่เป็นเพียงบุตรที่หัวดื้อหัวรั้นเท่านั้น แต่ร้ายกว่าอีก พวกเขาได้เป็นผู้กบฏและเป็นฆาตกร ในอดีตพวกเขาได้เคยฆ่าผู้รับใช้ของพร
ะเป็นเจ้า และบรรดาประกาศกซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงส่งไปหาพวกเขา รวมทั้งนักบุญยอห์น บัปติสต์ ด้วย และบัดนี้พวกเขาก็ได้ตัดสินใจ ที่จะประทานพระบุตรองค์เ
ดียวของพระเป็นเจ้า (เทียบ ยน 11) เพราะความผิดอันร้ายแรงนี้เอง พระองค์จึงจะเอาสวนองุ่น (หมายถึงชาวอิสราเอล) หรืออาณาจักรสวรรค์พระเป็นเจ้าบนแผ่นดิน
นั้นคืนมา และจะมอบให้แก่คนอื่นที่จะทำให้สวนนั้นเกิดผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ในพระธรรมเก่าเราได้พบอยู่บ่อย ๆ ว่า ส
วนองุ่นนั้นเปรียบเหมือนอาณาจักรสวรรค์บนแผ่นดิน (เทียบ สดด 80:8-16, อสย 5:1-7, ยรม 2:21) สวนองุ่นนั้นหมายถึงประขาก
รที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรร เพราะว่าสวนองุ่นของพระเจ้าจอมโยธานั้นก็คือประชากรอิสราเอล และประชากรยูดาก็เป็นพืชผลที่โ
ปรดปรานของพระองค์ (อสย 5:7) บรรดาผู้นำประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรเปรียบเหมือนกับคนดูแลสวนองุ่น ในฐานะที่พวกฟาริสีเข้าใจคำสอนในพระธรรมเก่าอย่างดี ก็ย่อมเข้าใจคำเปรียบเทียบที่พระเยซูเจ้าตรัสนั้นอย่างดีด้วย
ทำรั้วล้อมรอบ เจ้าของสวนองุ่นพยายามทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อจะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย เขาได้กั้นรั้วเพื่อกันขโมยแ
ละสัตว์ เขาได้สร้างเครื่องหีบองุ่นเพื่อจะได้คั้นองุ่น เขาได้สร้างหอคอยเพื่อให้คนยามเฝ้าระวังทั้งกลางวันและกลางคืน เมื่อถึงฤดูเ
ก็บผลองุ่น พูดสั้น ๆ เจ้าของสวนได้มอบสวนองุ่น ที่ดินพร้อมทุกอย่างแก่คนทำสวน ฉะนั้น เขาก็มีเหตุผลที่จะเรียกร้องผลตอบแทนที่สาสมกับการลงทุนของเขา
ถ้าหากเราจะหันไปดูประวัติศาสตร์แห่งความรอด นับตั้งแต่พระเป็นเจ้าได้ทรงเรียกอับราฮัมให้ออกจากเมืองอูร์ในแคว้
นเมโสโปเตเมีย ให้มาในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์ได้ทรงสัญญาจะมอบให้ลูกหลานของอับราฮัมจนถึงสมัยพระเยซูคริสตเจ้า เร
าจะเห็นว่าพระเป็นเจ้าได้ประทานพระพรให้แก่ชาวอิสราเอลมากมายทีเดียวตลอดระยะเวลาเกือบสองพันปีที่ผ่านมา เช่น พระอง
ค์ได้ทรงกอบกู้พวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือกองทัพของพระเจ้าฟาโรห์ที่ทะเลไม้อ้อ ระหว่างที่เขาเดินทางอยู่ในถิ่นทุรกันดานตาทร
ะเลทราย พระองค์ได้ประทานอาหารประจำวันให้แก่พวกเขา เช่น มานนา นก และน้ำ พระองค์ได้ทรงช่วยพวกเขาให้ชนะศัตรู
พระองค์ประทับท่ามกลางพวกเขาในเต็นท์นัดพบ และประทานพระบัญญัติ และได้ประทานดินแดนที่อุดมไปด้วยน้ำผึ้งและน้ำนมต
ามที่ได้ทรงสัญญาไว้ 10 ประการ และกฎหมายอื่น ไ เพื่อช่วยให้เขาดำรงชีพสัตย์ซื่อต่อพระองค์อยู่เสมอ พระองค์ได้ช่วยกอบกู้พว
กเขาให้พ้นจากการเป็นทาสของบาบิโลน ฯลฯ เมื่อพระองค์ได้ทรงพระเมตตาต่อพวกเขาถึงเพียงนี้ พระองค์ก็มีเหตุผลเพียงพอที่
จะเรียกร้องความกตัญญูรู้คุณจากพวกเขา แต่พระองค์ได้รับอะไรเป็นการตอบแทน นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้เป็นคำตอบ
เขาได้ส่งคนใช้ของเขา ในฤดูใบไม้ร่วงองุ่นก็เริ่มสุก ถึงเวลาเก็บองุ่นพระเป็นเจ้าในฐานะที่เป็นเจ้านายของประชากร
ที่พระองค์ทรงเลือกสรรได้ส่งผู้รับใช้ของพระองค์ กล่าวคือ บรรดาประกาศก เพื่อจะได้เตือนประชากรให้กลับใจใช้โทษบาป เพื่อต้อนรับเสด็จพระผู้ไถ่
คนทำสวนองุ่นได้จับคนใช้ ได้เฆี่ยนตี ได้ฆ่า และได้เอาหินทุ่ม แทนที่จะจ่ายหนี้สินให้นายของพวกเขา พวกเขากับ
ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ผู้นำชาวยิวได้กระทำต่อผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้า เข่นเดียวกัน เนื่องจากความจองหองและใจแข็งกระด้างของเข
าไม่ได้เป็นทุกข์เสียใจเพราะบาปของตน พวกเขาไม่สามารถที่จะทนต่อพระวาจาของพระเป็นเจ้าที่ตำหนิติเตรียนความประพฤติชั่วของเขา ฉะนั้น เขาจึงกำจัดบรรดาประกาศกของพระเป็นเจ้า (เทียบ นฮม 9, กจ 7:51-54)
ในที่สุดเจ้าของก็ได้ส่งบุตรชายคนเดียวของเขาให้ไปหาพวกเขา เจ้าของสวนองุ่นคิดว่า คนทำสวนคงจะเคารพนับถือบุ
ตรชายของเขา แม้ว่าเขาจะไม่นับถือคนใช้ แต่เขาหารู้ไม่ว่า ความชั่วร้ายฝังรากลึกลงในจิตใจคนทำสวน
เมื่อคนทำสวนเห็นบุตรชายของเขา ให้เรามาฆ่าเขากันเถอะ เมื่อเห็นลูกชายเจ้าของสวนมาหา ผู้ทำสวนก็วางแผนก
ารฆาตกรรม พระเป็นเจ้าผู้ทรงพระเมตตากรุณาหาขอบเขตมิได้ ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาในโลก เพื่อจะได้ว่ากล่าว
ตักเตือนชาวอิสราเอลให้กลับใจ พระเยซูคริสตเจ้าเองได้ตรัสกับพวกฟาริสีและคัมภีราจารย์ว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเป็นเ
จ้า และพระองค์ทรงทราบถึงแผนการอันชั่วร้ายของเขาที่จะกำจัดพระองค์ เพราะเหตุที่พระองค์ทรงอ้างตัวเป็นพระบุตรของพระเป็นเจ้านั่นเอง เขาจึงต้องการประหารพระองค์ เพราะความใจแข็งกระด้างของเขา
จะเหวี่ยงเขาออกไปนอกสวนองุ่น ที่สุด พวกเขาก็ได้สังหารบุตรชายของเจ้าของสวนตามแผนการที่คิดไว้ พวกฟาริส
ีและคัมภีราจารย์ก็ได้ตัดสินประหารพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระเป็นเจ้า โดยตรึงพระองค์บนไม้กางเขน ซึ่งเป็นเครื่องทร
มานสำหรับหญิงนักโทษสารเลว เขาได้เหวี่ยงพระองค์ออกนอกสวนจริง ๆ กล่าวคือ ได้ตอกตรึงพระองค์บนเนินกัลวารีโอ นอกกรุงเยรูซาเล็ม
เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าของสวนองุ่นจะมา เขาจะทำอะไรกับคนถือสวน พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงถามผู้ฟังว่า พวกเขามี
ความคิดเห็นอย่างไรเมื่อเจ้าของสวนองุ่นจะมาเอง พวกเขาได้ตอบอย่างถูกต้องว่า เจ้าของสวนองุ่นจะลงโทษพวกถือสวนที่สารเล
วนั้นอย่างสาสม และจะให้คนอื่นเช่าสวนแทนพวกเขา คำตอบนี้บางทีเป็นคำตอบของสานุศิษย์ของพระเยซูคริสตเจ้า หรือเป็นคำต
อบของพวกยิวที่มีความยำเกรงพระเป็นเจ้าซึ่งอยู่กรณีนั้นด้วย คงไม่ใช่เป็นคำถามของพวกฟาริสีหรือคัมภีราจารย์ เพราะเขารู้ว่าพระองค์ได้ทรงพูดถึงเขา
พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ดอกหรือว่า พระเยซูคริสตเจ้ามีพระประสงค์จะตรัสกับพวกเขาแจ้งชัดยิ่งขึ้นว่า พระอง
ค์ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบนี้เพื่อเตือนสติพวกฟาริสีและคัมภีราจารย์ พระองค์ได้อ้างถึงบทสดุดีที่ 118:22 ศิลาหัวมุมซึ่งเป็นศิล
าที่ยึดกำแพงไว้ให้มั่นคงนั้น เป็นพระองค์เอง เพราะพระองค์จะทรงเป็นพลังและบ่อเกิดของความมั่นคงและความเป็นน้ำหนึ่งใจเ
ดียวกัน ท่ามกลางนานาชาติ ซึ่งจะเป็นสมาชิกในอาณาจักรสวรรค์ใหม่ที่พระองค์จะทรงสถาปนาขึ้น แต่ในเวลาเดียวกัน พระองค์
ก็จะเป็นต้นเหตุแห่งหายนะและความพินาศสำหรับผู้ที่ละทิ้งพระองค์ ใครที่ล้มลงบนหินก้อนนี้จะแตกละเอียด และหินนี้จะบดขยี้เขาให้เป็นผง (เทียบ อสย 8:14, ดนล 2:44)
เมื่อพวกหัวหน้าพวกพระสงฆ์และพวกฟาริสีได้ฟังนิทานเปรียบเทียบ พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่า พระเยซูคริสตเจ้าทรง
พระประสงค์จะพูดถึงพวกเขา แต่แทนที่พวกเขาจะเป็นทุกข์เสียใจเพราะบาปของเขาในอดีต เขากลับตั้งใจที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูของพระองค์ และอยากจะจับพระองค์ด้วยซ้ำไป แต่ไม่กล้าเพราะกลัวประชาชน
|