หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

 คนเช่าสวนที่ชั่วร้าย
(มธ 21:33-45 เทียบ มก 12:1-2, ลก 20:9-19, ยน 8:37)

คำอธิบาย

                 ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องบุตรสองคน มธ 21:28-32 พระเยซูคริสตเจ้ าได้ตรัสกับพวกฟาริสีว่า  พวกเขาเป็นบุตรที่ไม่นบนอบต่อพระเป็นเจ้า และดังนี้เขาก็ไม่มีส่วนในมรดกของพระองค์ ในนิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้  พระองค์ต้องการจะ ตรัสกับเขาว่า  พวกเขานั้นมิใช่แต่เป็นเพียงบุตรที่หัวดื้อหัวรั้นเท่านั้น  แต่ร้ายกว่าอีก  พวกเขาได้เป็นผู้กบฏและเป็นฆาตกร ในอดีตพวกเขาได้เคยฆ่าผู้รับใช้ของพร ะเป็นเจ้า  และบรรดาประกาศกซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงส่งไปหาพวกเขา รวมทั้งนักบุญยอห์น บัปติสต์ ด้วย และบัดนี้พวกเขาก็ได้ตัดสินใจ ที่จะประทานพระบุตรองค์เ ดียวของพระเป็นเจ้า (เทียบ ยน 11) เพราะความผิดอันร้ายแรงนี้เอง  พระองค์จึงจะเอาสวนองุ่น (หมายถึงชาวอิสราเอล) หรืออาณาจักรสวรรค์พระเป็นเจ้าบนแผ่นดิน นั้นคืนมา  และจะมอบให้แก่คนอื่นที่จะทำให้สวนนั้นเกิดผลประโยชน์เต็มเม็ดเต็มหน่วย ในพระธรรมเก่าเราได้พบอยู่บ่อย ๆ ว่า  ส วนองุ่นนั้นเปรียบเหมือนอาณาจักรสวรรค์บนแผ่นดิน (เทียบ  สดด 80:8-16, อสย 5:1-7, ยรม 2:21) สวนองุ่นนั้นหมายถึงประขาก รที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรร “เพราะว่าสวนองุ่นของพระเจ้าจอมโยธานั้นก็คือประชากรอิสราเอล  และประชากรยูดาก็เป็นพืชผลที่โ ปรดปรานของพระองค์ (อสย 5:7) บรรดาผู้นำประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรเปรียบเหมือนกับคนดูแลสวนองุ่น  ในฐานะที่พวกฟาริสีเข้าใจคำสอนในพระธรรมเก่าอย่างดี ก็ย่อมเข้าใจคำเปรียบเทียบที่พระเยซูเจ้าตรัสนั้นอย่างดีด้วย
  
                 ทำรั้วล้อมรอบ  เจ้าของสวนองุ่นพยายามทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อจะได้ผลเต็มเม็ดเต็มหน่วย  เขาได้กั้นรั้วเพื่อกันขโมยแ ละสัตว์  เขาได้สร้างเครื่องหีบองุ่นเพื่อจะได้คั้นองุ่น เขาได้สร้างหอคอยเพื่อให้คนยามเฝ้าระวังทั้งกลางวันและกลางคืน  เมื่อถึงฤดูเ ก็บผลองุ่น พูดสั้น ๆ เจ้าของสวนได้มอบสวนองุ่น ที่ดินพร้อมทุกอย่างแก่คนทำสวน  ฉะนั้น  เขาก็มีเหตุผลที่จะเรียกร้องผลตอบแทนที่สาสมกับการลงทุนของเขา

                 ถ้าหากเราจะหันไปดูประวัติศาสตร์แห่งความรอด  นับตั้งแต่พระเป็นเจ้าได้ทรงเรียกอับราฮัมให้ออกจากเมืองอูร์ในแคว้ นเมโสโปเตเมีย  ให้มาในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่พระองค์ได้ทรงสัญญาจะมอบให้ลูกหลานของอับราฮัมจนถึงสมัยพระเยซูคริสตเจ้า  เร าจะเห็นว่าพระเป็นเจ้าได้ประทานพระพรให้แก่ชาวอิสราเอลมากมายทีเดียวตลอดระยะเวลาเกือบสองพันปีที่ผ่านมา  เช่น  พระอง ค์ได้ทรงกอบกู้พวกเขาให้พ้นจากเงื้อมมือกองทัพของพระเจ้าฟาโรห์ที่ทะเลไม้อ้อ  ระหว่างที่เขาเดินทางอยู่ในถิ่นทุรกันดานตาทร ะเลทราย  พระองค์ได้ประทานอาหารประจำวันให้แก่พวกเขา เช่น มานนา  นก  และน้ำ  พระองค์ได้ทรงช่วยพวกเขาให้ชนะศัตรู  พระองค์ประทับท่ามกลางพวกเขาในเต็นท์นัดพบ และประทานพระบัญญัติ  และได้ประทานดินแดนที่อุดมไปด้วยน้ำผึ้งและน้ำนมต ามที่ได้ทรงสัญญาไว้ 10 ประการ  และกฎหมายอื่น ไ เพื่อช่วยให้เขาดำรงชีพสัตย์ซื่อต่อพระองค์อยู่เสมอ พระองค์ได้ช่วยกอบกู้พว กเขาให้พ้นจากการเป็นทาสของบาบิโลน  ฯลฯ เมื่อพระองค์ได้ทรงพระเมตตาต่อพวกเขาถึงเพียงนี้ พระองค์ก็มีเหตุผลเพียงพอที่ จะเรียกร้องความกตัญญูรู้คุณจากพวกเขา แต่พระองค์ได้รับอะไรเป็นการตอบแทน  นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้เป็นคำตอบ

                 เขาได้ส่งคนใช้ของเขา  ในฤดูใบไม้ร่วงองุ่นก็เริ่มสุก ถึงเวลาเก็บองุ่นพระเป็นเจ้าในฐานะที่เป็นเจ้านายของประชากร ที่พระองค์ทรงเลือกสรรได้ส่งผู้รับใช้ของพระองค์ กล่าวคือ บรรดาประกาศก เพื่อจะได้เตือนประชากรให้กลับใจใช้โทษบาป เพื่อต้อนรับเสด็จพระผู้ไถ่

                 คนทำสวนองุ่นได้จับคนใช้  ได้เฆี่ยนตี ได้ฆ่า และได้เอาหินทุ่ม แทนที่จะจ่ายหนี้สินให้นายของพวกเขา พวกเขากับ ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ผู้นำชาวยิวได้กระทำต่อผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้า  เข่นเดียวกัน  เนื่องจากความจองหองและใจแข็งกระด้างของเข าไม่ได้เป็นทุกข์เสียใจเพราะบาปของตน  พวกเขาไม่สามารถที่จะทนต่อพระวาจาของพระเป็นเจ้าที่ตำหนิติเตรียนความประพฤติชั่วของเขา  ฉะนั้น  เขาจึงกำจัดบรรดาประกาศกของพระเป็นเจ้า (เทียบ  นฮม 9, กจ 7:51-54)

                 ในที่สุดเจ้าของก็ได้ส่งบุตรชายคนเดียวของเขาให้ไปหาพวกเขา  เจ้าของสวนองุ่นคิดว่า คนทำสวนคงจะเคารพนับถือบุ ตรชายของเขา  แม้ว่าเขาจะไม่นับถือคนใช้ แต่เขาหารู้ไม่ว่า  ความชั่วร้ายฝังรากลึกลงในจิตใจคนทำสวน

                 เมื่อคนทำสวนเห็นบุตรชายของเขา ให้เรามาฆ่าเขากันเถอะ  เมื่อเห็นลูกชายเจ้าของสวนมาหา ผู้ทำสวนก็วางแผนก ารฆาตกรรม  พระเป็นเจ้าผู้ทรงพระเมตตากรุณาหาขอบเขตมิได้ ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาในโลก  เพื่อจะได้ว่ากล่าว ตักเตือนชาวอิสราเอลให้กลับใจ พระเยซูคริสตเจ้าเองได้ตรัสกับพวกฟาริสีและคัมภีราจารย์ว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเป็นเ จ้า  และพระองค์ทรงทราบถึงแผนการอันชั่วร้ายของเขาที่จะกำจัดพระองค์  เพราะเหตุที่พระองค์ทรงอ้างตัวเป็นพระบุตรของพระเป็นเจ้านั่นเอง เขาจึงต้องการประหารพระองค์ เพราะความใจแข็งกระด้างของเขา
 

                 จะเหวี่ยงเขาออกไปนอกสวนองุ่น ที่สุด พวกเขาก็ได้สังหารบุตรชายของเจ้าของสวนตามแผนการที่คิดไว้  พวกฟาริส ีและคัมภีราจารย์ก็ได้ตัดสินประหารพระเยซูคริสตเจ้า  พระบุตรของพระเป็นเจ้า โดยตรึงพระองค์บนไม้กางเขน  ซึ่งเป็นเครื่องทร มานสำหรับหญิงนักโทษสารเลว  เขาได้เหวี่ยงพระองค์ออกนอกสวนจริง ๆ กล่าวคือ  ได้ตอกตรึงพระองค์บนเนินกัลวารีโอ  นอกกรุงเยรูซาเล็ม

                 เพราะฉะนั้น  เมื่อเจ้าของสวนองุ่นจะมา เขาจะทำอะไรกับคนถือสวน พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงถามผู้ฟังว่า  พวกเขามี ความคิดเห็นอย่างไรเมื่อเจ้าของสวนองุ่นจะมาเอง  พวกเขาได้ตอบอย่างถูกต้องว่า เจ้าของสวนองุ่นจะลงโทษพวกถือสวนที่สารเล วนั้นอย่างสาสม และจะให้คนอื่นเช่าสวนแทนพวกเขา คำตอบนี้บางทีเป็นคำตอบของสานุศิษย์ของพระเยซูคริสตเจ้า  หรือเป็นคำต อบของพวกยิวที่มีความยำเกรงพระเป็นเจ้าซึ่งอยู่กรณีนั้นด้วย  คงไม่ใช่เป็นคำถามของพวกฟาริสีหรือคัมภีราจารย์ เพราะเขารู้ว่าพระองค์ได้ทรงพูดถึงเขา

                 พวกท่านไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ดอกหรือว่า  พระเยซูคริสตเจ้ามีพระประสงค์จะตรัสกับพวกเขาแจ้งชัดยิ่งขึ้นว่า พระอง ค์ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบนี้เพื่อเตือนสติพวกฟาริสีและคัมภีราจารย์  พระองค์ได้อ้างถึงบทสดุดีที่ 118:22 “ศิลาหัวมุมซึ่งเป็นศิล าที่ยึดกำแพงไว้ให้มั่นคงนั้น เป็นพระองค์เอง เพราะพระองค์จะทรงเป็นพลังและบ่อเกิดของความมั่นคงและความเป็นน้ำหนึ่งใจเ ดียวกัน  ท่ามกลางนานาชาติ  ซึ่งจะเป็นสมาชิกในอาณาจักรสวรรค์ใหม่ที่พระองค์จะทรงสถาปนาขึ้น แต่ในเวลาเดียวกัน  พระองค์ ก็จะเป็นต้นเหตุแห่งหายนะและความพินาศสำหรับผู้ที่ละทิ้งพระองค์ ใครที่ล้มลงบนหินก้อนนี้จะแตกละเอียด  และหินนี้จะบดขยี้เขาให้เป็นผง (เทียบ  อสย 8:14, ดนล 2:44)

                 เมื่อพวกหัวหน้าพวกพระสงฆ์และพวกฟาริสีได้ฟังนิทานเปรียบเทียบ  พวกเขาก็เข้าใจทันทีว่า  พระเยซูคริสตเจ้าทรง พระประสงค์จะพูดถึงพวกเขา แต่แทนที่พวกเขาจะเป็นทุกข์เสียใจเพราะบาปของเขาในอดีต เขากลับตั้งใจที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูของพระองค์ และอยากจะจับพระองค์ด้วยซ้ำไป แต่ไม่กล้าเพราะกลัวประชาชน
 

คำสอน 

                     จากนิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ เราจึงมีความคิดที่สำคัญ ๆ สองประการ  คือความเพียรอดทนและเมตตาอันปราศจากขอบเขตของพระเป็นเจ้าต่อมนุษย์  และความชั่วร้ายและความอกตัญญูที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของมนุษย์ พระเป็นเจ้าทรงมีพระทัยเมตตาต่อพวกอิสราเอล  โดยประทานสวนองุ่นที่เพียบพร้อมและตกแต่งไว้เรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้ทรงไขแสดงพระองค์เองและน้ำพระทัยให้แก่พวกเขา พระองค์ได้ทรงคุ้มครอง  ได้ทรงสัญญาจะส่งพระผู้กอบกู้มาเมื่อพวกเขาพลาดตกในบาป และพระองค์จะให้พวกเขาได้รับบำเหน็จตลอดทั้งชั่วนิรันดร สิ่งที่พระองค์ทรงขอร้องจากพวกเขา คือ  ความร่วมมือร่วมใจ เพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปตามแผนการของพระองค์ แต่พวกเขามีอีกแผนหนึ่ง คือ  พวกเขาต้องการสวรรค์ ณ  แผ่นดิน แต่พระเป็นเจ้าก็ทรงเพียรทนต่อพวกเขา  โดยโปรดส่งประกาศกองค์แล้วองค์เล่ามาเทศน์ตักเตือนเพื่อให้เขากลับใจ แต่พวกเขาได้ถูกสบประมาท  และด่าว่าบรรดาประกาศกของพระเป็นเจ้า และบางครั้งถึงกับจำคุก และเข่นฆ่าผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้า ในที่สุด พระองค์ก็ได้ทรงส่งพระบุตรมาบังเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงรักพวกเขาจริง ๆ  และเพื่อว่าพวกเขาจะได้กลับใจหันมาหาพระองค์ แต่แทนที่จะมองเห็นพระเมตตาของพระเป็นเจ้า พวกเขากลับทำบาปหนักกว่าเก่าอีก เพราะพวกเขามิได้เพียงแต่กระทำความอยุติธรรมละสังหารมนุษย์ แต่พวกเขายังได้กลายเป็นผู้ฆ่าพระ นี่แหละ  คือ โศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

                 ถึงกระนั้นก็ดี พระเมตตาอันปราศจากขอบเขตของพระเป็นเจ้า ถ้าเป็นฝ่ายชนะต่อความเลวทรามอันต่ำช้าของมนุษย์ กล่าวคือ การสิ้นพระชนม์ของพระผู้ไถ่บนไม้กางเขนที่เนินกัลวารีโอ  ได้ไถ่บาปมนุษยชาติและมนุษย์ก็ได้รับสวนองุ่นใหม่อีกครั้งหนึ่ง  พระศาสนจักรได้เข้าแทนที่โรงธรรม คริสตชนได้เข้าแทนที่ประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรร  บุตรของพระเป็นเจ้าแทนที่บุตรหลานของอับราฮัม

                 เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรารู้สึกเศร้าเพราะบาปต่าง ๆ ของเพื่อนมนุษย์ เราก็มีความยินดีที่พระเป็นเจ้าทรงมีพระทัยเมตตาหาขอบเขตมิได้ต่อเรา พระองค์บันดาลให้เราเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรได้ทรงเปิดประตูสวรรค์ให้แก่เรา  และได้ทิ้งเครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นเพื่อเราจะได้ใช้เพื่อเอาตัวรอด

ให้เราถามตัวเราเองว่า  เราเคยมีความรู้สึกกตัญญูต่อผู้มีพระคุณต่อเรามากน้อยเพียงไร เราเป็นลูกที่ดีต่อพระบิดาสวรรค์หรือเปล่า เรากำลังแลกกางเขนมุ่งไปสู่สวรรค์อย่างกล้าหาญและร่าเริงหรือเปล่า ถ้าหากมโธรรมของเราตอบว่า เรากำลังทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้  ก็ให้เราขอบพระคุณพระด้วยใจเร่าร้อน ถ้าหากตอบว่าเรายังไม่ได้ทำ เราก็ต้องลงมือเสียเวลานี้  เพราะพรุ่งนี้อาจจะช้าไป

ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ