พวกยิวทั่วๆ ไป เป็นต้นพวกฟาริสีตัดสินว่า มิใช่แต่เพียงพวกเขาจะได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์เท่านั้น แต่พวกเขาจะได้ตำแหน่งดี ๆ หรือเป็นหัวหน้าในอาณาจักรสวรรค์ด้วย ทั้
งนี้ ก็เพราะว่าพระเมสสิยาห์นั้นบังเกิดมาในเชื้อชาติของพวกเขา ถ้าหากพระคริสตเจ้าซึ่งเป็นพระบุตรพระเจ้าที่รอบรู้ทุกอย่างถือว่าภัยพิบัตินั้นรุนแรงมากจนกระทั่งว่า พระองค์ยอมรับคว
ามยากลำบากและทนทุกข์ทรมานเพื่อช่วยเรา ใครเล่าจะถือว่าภัยพิบัตินั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือดำรงชีพราวกับว่านรกไม่มี
แม้เราจะไม่สามารถเข้าใจถึงหายนะประการนั้นทั้งหมด อย่างไรก็ดีเราก็พอจะเ
ข้าใจได้บ้าง เพราะเราทุกคนต่างก็เคยประสบความทุกข์ร้อนมาแล้ว ไม่ทางกายก็ทางใจ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน กระดูกหัก นอนไม่หลับ อัมพาต ฯลฯ และเขาก็พยายามหาหมอหรือหยู
กยาเพื่อจะได้บรรเทาความเจ็บปวดนั้น แม้ว่าจะต้องเสียเงินเสียทองก็ตาม
ถ้าหากแพทย์บอกเราว่าอีกไม่กี่วันก็หาย เราก็รู้สึกดีใจมากแล้ว ถ้าหากความเจ็
บปวดนั้นคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักจบสิ้น ถ้าหากไม่มียาชนิดใดที่จะบรรเทาความเจ็บปวดให้ลดน้อยลง ถ้าหากเราต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นโดยไม่มีวันตายล่ะ เขาจะมีความรู้สึกอย่างไร
ในด้านความเสียหายก็เช่นกัน เราต่างก็มีความรู้สึกเสียดายมาแล้ว เช่น เราเสียใจและเสียดายที่บิดามารดา ญา
ติพี่น้อง หรือคนที่เรารักใคร่ต้องตายพรากจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา แม้เราจะทราบว่าเขายังมีหวังในชีวิตหน้า และเรายังอ
าจจะพบกันในชีวิตหน้าก็ตาม ยิ่งกว่านั้น นานๆ ไปเราก็ลืมความรู้สึกประการนั้นได้ แต่ว่าเราจะเศร้าสักเพียงไร ถ้าหากว่าเราต้องพรากจากเขาเพราะความผิดพลาดที่เต็มใจของเขา
วิญญาณที่ต้องโทษในนรกจะทราบถึงความดีงามของพระเป็นเจ้าในวันพิพากษา เขาจะทราบอย่างแจ้งชัดว่า เขา
สูญเสียบ่อเกิดขององค์คุณงามความดี และไม่ใช่ว่าเขาจะต้องพรากจากไปภายในวันสองวันหรือตลอดปี แต่ตลอดทั้งชั่วนิรันด
ร และมิใช่แต่สูญเสียพระเป็นเจ้าเท่านั้น เขายังจะต้องทนทุกข์ทรมานด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเป็นเรื่องแปลกประหลา
ดเลย ที่เราอ่านพบนักบุญบางองค์ถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อคิดถึงโทษนรก และแม้แต่เพียงได้ยินคำว่า นรก เท่านั้น
ถึงกระนั้นก็ดี มีคริสตชนมากมายในสมัยของเรานี้ที่กำลังมุ่งไปสู่หายนะอันนั้น เขาได้เลือกดำรงชีพตามความสนุ
กสบายฝ่ายเนื้อหนัง เขาไม่เคยสนใจเกี่ยวกับพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าและพระศาสนจักร วัดวาไม่เคยเหยียบ การทำบุญท
ำทานเพื่อแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ก็ไม่เคยทำ การภาวนาแก้บาปรับศีลเป็นเครื่องมือช่วยให้เขาเอาตัวรอดก็ไม่เคยหยิบเ
อามาใช้ เนื่องจากเขาไม่มีเวลา เพราะต้องสาละวนกับโลกที่เขาถือว่าสำคัญกว่า เขาจะเป็นเหมือนเศรษฐีในนิทานเปรียบเที
ยบเรื่อง เศรษฐีกับลาซารัส กว่าเขาจะสำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังจะแก้ตัวด้วยว่าไม่มีใครเตือนเขาให้กลับใจ
แต่เขาจะได้รับคำตอบว่า โมเสสและประกาศกได้กล่าวเตือนเขาแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขาก็เคยได้ฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้าเองในพระคัมภีร์ และเป็นต้นในพระวรสาร ฉะนั้น ข้อแก้ตัวใดๆ ของเขาฟังไม่ขึ้นเลย
พระเยซูเจ้าทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า เนื่องจากการนับถือพระเป็นเจ้าแต่ภายน
อก ความจองหอง และใจที่ผูกพันธ์กับของของโลก พวกเขามิใช่แต่เพียงสูญเสียอภิสิทธิ์ในฐานะที่พวกเขาเป็นประชาชนที่พ
ระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรเท่านั้น แต่ยิ่งกว่านั้นอีก พวกเขาจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ เพราะว่าพวกเขาได้จงใจตัดตัวเองออ
กจากอิสราเอลใหม่ กล่าวคือ พระศาสนจักรที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งขึ้น ทั้งนี้ ก็เพราะว่าพระศาสนจักรเท่านั้นเป็นประตูสวรรค์ (เทียบ ลก 14:16-24)
อย่างไรก็ดี บรรดาคนบาปและคนต่างศาสนา (คนที่อยู่ตามถนน) ที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์แทนพวกฟาริสีนั้น จะต้
องประพฤติตนให้เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์จริงๆ เขาจะต้องสวมเสื้อวิวาห์ในงานเลี้ยงด้วย
พระราชาซึ่งจัดงานวิวาห์มงคลเพื่อพระราชโอรส งานนี้เป็นงานมโหฬาร และแขกผู้ได้รับเชิญนั้นจะต้องถือว่าเป็
นเกียรติจริงๆ พระราชาคือพระบิดาเจ้า ราชโอรสคือพระเยซูคริสตเจ้า และวิวาห์มงคลนั้นเป็นการสมรสระหว่างพระเยซูคริสตเจ้าและเจ้าสาวของพระองค์ กล่าวคือพระศาสนจักร
คนใช้ที่พระราชาส่งออกไปเพื่อเชื้อเชิญผู้ที่ได้รับเชิญแล้ว แสดงให้เห็นว่าพระราชาเคยเชิญมาก่อนแล้ว และพว
กแขกก็ได้ตอบรับว่าจะมาร่วมงานเลี้ยง แต่พองานวิวาห์มงคลคืบคลานใกล้เข้ามา แขกผู้รับเชิญต่างปฏิเสธที่จะมา นับตั้งแต่
พระเป็นเจ้าทรงเรียกอับราฮัม (ประมาณ 1850 ปีก่อนคริสตกาล เทียบ ปฐมกาล 18:18) พระองค์ก็ได้ทรงเชื้อเชิญชาวยิวใ
ห้เข้ามาในพระราชัยของพระเมสสิยาห์ บรรดาประกาศกในพระธรรมเก่าก็ได้เชื้อเชิญชาวยิวตลอดมาทุกยุคทุกสมัย แต่พอพระเยซูคริสตเจ้าปรากฏมา ชาวยิวไม่ได้ต้อนรับพระองค์ (เทียบ ยน 1:11)
พระราชาได้ส่งพวกคนใช้ไปอีกครั้งหนึ่ง พระราชาได้ทรงพระพิโรธ เพราะพวกแขกไม่ใยดีต่อคำเชื้อเชิญ แต่เนื่
องจากพระองค์ทรงประกอบด้วยพระทัยเมตตา พระองค์จึงได้ทรงส่งคนใช้ออกไปเชิญใหม่ คนใช้พวกแรกได้แก่ประกาศกใน
พระธรรมเก่า พวกที่สองก็ได้แก้พวกอัครสาวก พวกสาวกได้ประกาสว่างานวิวาห์มงคลพร้อมแล้ว กล่าวคือ อาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว
แต่พวกเขาไม่สนใจ บรรดาแขกต่างคนต่างก็ไปทำธุระของตน พวกเขาไม่มีเวลาสำหรับพระราชา หรืออาณาจัก
รสวรรค์ของพระองค์ ผู้ที่ได้รับเชิญบางคนร้ายกว่านั้นอีก พวกเขาได้ข่มเหงทำร้ายและได้ฆ่าพวกคนใช้ ถ้าหากเราอ่านกิจกา
รอัครสาวก เราจะเข้าใจข้อความตอนนี้ได้ดี เพราะอัครสาวกหลาย ๆ องค์ได้ถูกเบียดเบียน ถูกเฆี่ยนตี และถูกจับใส่คุก และที่สุดสานุศิษย์บางองค์ได้ถูกฆ่า เช่น นักบุญสเตเฟน เป็นต้น
เมื่อพระราชาได้ทราบข่าว ผู้ที่เข่นฆ่าคนใช้ของพระราชาก็ต้องโทษด้วย พระราชาได้ทรงส่งกองทัพของพระองค์ไ
ปทำลาย บรรดาฆาตกร และได้เผาเมืองของพวกเขา นิทานเปรียบเทียบนี้อาจจะเป็นคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสตเจ้าก็ได้
จากประวัติศาสตร์ เราทราบว่า ในปี ค.ศ. 70 กองทัพโรมัน ภายใต้การนำของตีตัส ได้บุกรุกกรุงเยรูซาเลม ได้ทำลายและได้เผาเมือง
ผู้ที่ได้รับเชิญนั้นไม่เหมาะสม ไม่ใช่พระราชาต้องการขจัดพวกเขา แต่เพราะว่าพวกเขาทำตัวไม่เหมาะสมกับกา
รเลี้ยง เนื่องจากความชั่วช้าของพวกเขา
จงไปตามถนนหนทาง เนื่องจากชนชั้นนำไม่สนใจ และงานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว พระราชาจึงมีพระบัญชาให้คนใช้ออ
กไปเชื้อเชิญคนตามถนนหนทางซึ่งเป็นสามัญชน และไม่มีตำแหน่งที่สำคัญในสังคม
พวกคนใช้ได้รวบรวมทั้งคนดีและคนชั่ว ผู้ส่งข่าวของพระเจ้าแผ่นดิน (บรรดาอัครสาวก) ได้ออกไปตามถนนหนทา
ง เพื่อไปประกาศว่าพระราชาได้จัดงานเลี้ยงไว้แล้ว กล่าวคือ ไปประกาศพระวรสารในดินแดนต่างศาสนาว่าพระเยซูคริสตเจ้
าได้ทรางสถาปนาพระศาสนจักรแล้ว ประชาชนเหล่านั้นต่างก็รีบมาในงานเลี้ยงด้วยความปิติยิดี พวกเขาได้สมัครใจมาเป็นสา
นุศิษย์ของพระเยซูเจ้า และได้กลายเป็นประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรแทนพวกฟารีสี ผลก็คือ งานวิวาห์มงคลนั้นก็เต็
มไปด้วยแขก เราควรจะจดจำไว้เสมอว่า พระเป็นเจ้าทรงมีแผนการณ์จะช่วยคนต่างศาสนาให้เข้าในอุระของศาสนจักร แม้ว่
าพวกฟาริสีจะมีท่าทีอย่างไรต่อพระวรสาร นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ต้องการเน้นว่าพระเป็นเจ้าทรงทอดทิ้งพวกฟาริสีที่จองหอ
ง และพระองค์บันดาลให้คนต่างศาสนาที่ถูกเหยียดหยามจากพวกฟาริสีนั้นเข้าแทนที่พวกฟาริสีเองในอาณาจักรสวรรค์
คนที่ไม่ได้สวมเสื้อวิวาห์ ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่ถือว่าตอนนี้เป็นการเปรียบเทียบเ
รื่องใหม่ แต่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนิทานเปรียบเทียบเรื่องที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เพราะว่าในนิทานเปรียบเทียบเรื่อง
หลังนี้ก็มีทั้งคนดีและคนชั่วที่มาจากถนนหนทาง นิทานเปรียบเทียบเรื่องหลังนี้ต้องการอธิบายว่า แม้คนที่ถูกเชื้อเชิญแล้ว ถ้าหากดำเนินชีพไม่เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์ก็จะต้องโทษด้วย
เพื่อนเอ๋ย ท่านเข้ามาในงานวิวาห์มงคลโดยไม่สวมเสื้อวิวาห์ได้อย่างไรกัน แน่นอน ในงานเช่นนี่แขกแต่ละคนจะ
ต้องสวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์มงคลที่เขาคงจะหามาได้ไม่ยากนัก เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าภาพซึ่งเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน
มิฉะนั้น พระราชาคงจะไม่ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่ได้รับเชิญจากผู้นั้น การที่เขาไม่สวมเสื้อที่เหมาะสมกับโอกาสแสดงว่าเขาขา
ดความนับถือต่อเจ้าภาพ แต่เขาเงียบ ผู้ผินั้นไม่ได้โต้ตอบป้องกันตัว แสดงว่าเขายอมรับผิด และไม่อยากแก้ตัว การที่พระท
รงเรียกคนต่างศาสนาให้เข้ามามีส่วนร่วมในพระศาสนจักรนั้น ต้องถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ทีเดียว ถ้าหากบางคนทำตัวไม่สมกับเกีย
รติยศอันนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะดำรงชีพตามหลักพระวรสารได้ไม่ยากนัก เพราะพระเป็นเจ้าทรงประทานพระหรรษทานที่จำเป็นแก่เขา ถ้าหากเข้าต้องโทษ ก็ต้องถือว่าเป็นเพราะความผิดของเขาเอง เขาจะโทษใครไม่ได้
จงเหวี่ยงเขาออกไปในที่มืดข้างนอก คนที่แต่งตัวไม่เหมาะสมในงานวิวาห์มงคลจะอยู่ร่วมทานเลี้ยงกับแขกอื่น ๆ
ไม่ได้ฉันใด คนบาปหรือคนที่ไม่มีคุณธรรมก็จะเข้าสวรรค์ไม่ได้ฉันนั้น การมัดมือและเท้าของผู้ผิด แสดงว่าผู้ที่ขาดความนับ
ถือต่อพระราชานั้นจะหนีจากอาชญาโทษไม่พ้น ความมืดภายนอกและการขบฟันด้วยความขุ่นเคือง หมายถึงการสูญเสียความ
สุขและได้รับความทุกข์ทรมานพวกยิวทั่วๆ ไป เป็นต้นพวกฟาริสีตัดสินว่า มิใช่แต่เพียงพวกเขาจะได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์เ
ท่านั้น แต่พวกเขาจะได้ตำแหน่งดี ๆ หรือเป็นหัวหน้าในอาณาจักรสวรรค์ด้วย ทั้งนี้ ก็เพราะว่าพระเมสสิยาห์นั้นบังเกิดมาในเ
ชื้อชาติของพวกเขา ถ้าหากพระคริสตเจ้าซึ่งเป็นพระบุตรพระเจ้าที่รอบรู้ทุกอย่างถือว่าภัยพิบัตินั้นรุนแรงมากจนกระทั่งว่า พร
ะองค์ยอมรับความยากลำบากและทนทุกข์ทรมานเพื่อช่วยเรา ใครเล่าจะถือว่าภัยพิบัตินั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือดำรงชีพราวกับว่านรกไม่มี
แม้เราจะไม่สามารถเข้าใจถึงหายนะประการนั้นทั้งหมด อย่างไรก็ดีเราก็พอจะเข้าใจได้บ้าง เพราะเราทุกคนต่าง
ก็เคยประสบความทุกข์ร้อนมาแล้ว ไม่ทางกายก็ทางใจ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน กระดูกหัก นอนไม่หลับ อัมพาต ฯลฯ และเ
ขาก็พยายามหาหมอหรือหยูกยาเพื่อจะได้บรรเทาความเจ็บปวดนั้น แม้ว่าจะต้องเสียเงินเสียทองก็ตาม
ถ้าหากแพทย์บอกเราว่าอีกไม่กี่วันก็หาย เราก็รู้สึกดีใจมากแล้ว ถ้าหากความเจ็บปวดนั้นคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ โดยไ
ม่รู้จักจบสิ้น ถ้าหากไม่มียาชนิดใดที่จะบรรเทาความเจ็บปวดให้ลดน้อยลง ถ้าหากเราต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นโดยไม่มีวันตายล่ะ เขาจะมีความรู้สึกอย่างไร
ในด้านความเสียหายก็เช่นกัน เราต่างก็มีความรู้สึกเสียดายมาแล้ว เช่น เราเสียใจและเสียดายที่บิดามารดา ญา
ติพี่น้อง หรือคนที่เรารักใคร่ต้องตายพรากจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา แม้เราจะทราบว่าเขายังมีหวังในชีวิตหน้า และเรายังอ
าจจะพบกันในชีวิตหน้าก็ตาม ยิ่งกว่านั้น นานๆ ไปเราก็ลืมความรู้สึกประการนั้นได้ แต่ว่าเราจะเศร้าสักเพียงไร ถ้าหากว่าเราต้องพรากจากเขาเพราะความผิดพลาดที่เต็มใจของเขา
วิญญาณที่ต้องโทษในนรกจะทราบถึงความดีงามของพระเป็นเจ้าในวันพิพากษา เขาจะทราบอย่างแจ้งชัดว่า เขา
สูญเสียบ่อเกิดขององค์คุณงามความดี และไม่ใช่ว่าเขาจะต้องพรากจากไปภายในวันสองวันหรือตลอดปี แต่ตลอดทั้งชั่วนิรันด
ร และมิใช่แต่สูญเสียพระเป็นเจ้าเท่านั้น เขายังจะต้องทนทุกข์ทรมานด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นเป็นเรื่องแปลกประหลา
ดเลย ที่เราอ่านพบนักบุญบางองค์ถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อคิดถึงโทษนรก และแม้แต่เพียงได้ยินคำว่า นรก เท่านั้น
ถึงกระนั้นก็ดี มีคริสตชนมากมายในสมัยของเรานี้ที่กำลังมุ่งไปสู่หายนะอันนั้น เขาได้เลือกดำรงชีพตามความสนุ
กสบายฝ่ายเนื้อหนัง เขาไม่เคยสนใจเกี่ยวกับพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าและพระศาสนจักร วัดวาไม่เคยเหยียบ การทำบุญท
ำทานเพื่อแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ก็ไม่เคยทำ การภาวนาแก้บาปรับศีลเป็นเครื่องมือช่วยให้เขาเอาตัวรอดก็ไม่เคยหยิบเ
อามาใช้ เนื่องจากเขาไม่มีเวลา เพราะต้องสาละวนกับโลกที่เขาถือว่าสำคัญกว่า เขาจะเป็นเหมือนเศรษฐีในนิทานเปรียบเที
ยบเรื่อง เศรษฐีกับลาซารัส กว่าเขาจะสำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังจะแก้ตัวด้วยว่าไม่มีใครเตือนเขาให้กลับใจ
แต่เขาจะได้รับคำตอบว่า โมเสสและประกาศกได้กล่าวเตือนเขาแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขาก็เคยได้ฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้าเองในพระคัมภีร์ และเป็นต้นในพระวรสาร ฉะนั้น ข้อแก้ตัวใดๆ ของเขาฟังไม่ขึ้นเลย
พระเยซูเจ้าทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า เนื่องจากการนับถือพระเป็นเจ้าแต่ภายน
อก ความจองหอง และใจที่ผูกพันธ์กับของของโลก พวกเขามิใช่แต่เพียงสูญเสียอภิสิทธิ์ในฐานะที่พวกเขาเป็นประชาชนที่พ
ระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรเท่านั้น แต่ยิ่งกว่านั้นอีก พวกเขาจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ เพราะว่าพวกเขาได้จงใจตัดตัวเองออ
กจากอิสราเอลใหม่ กล่าวคือ พระศาสนจักรที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งขึ้น ทั้งนี้ ก็เพราะว่าพระศาสนจักรเท่านั้นเป็นประตูสวรรค์ (เทียบ ลก 14:16-24)
อย่างไรก็ดี บรรดาคนบาปและคนต่างศาสนา (คนที่อยู่ตามถนน) ที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์แทนพวกฟาริสีนั้น จะต้
องประพฤติตนให้เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์จริงๆ เขาจะต้องสวมเสื้อวิวาห์ในงานเลี้ยงด้วย
พระราชาซึ่งจัดงานวิวาห์มงคลเพื่อพระราชโอรส งานนี้เป็นงานมโหฬาร และแขกผู้ได้รับเชิญนั้นจะต้องถือว่าเป็
นเกียรติจริงๆ พระราชาคือพระบิดาเจ้า ราชโอรสคือพระเยซูคริสตเจ้า และวิวาห์มงคลนั้นเป็นการสมรสระหว่างพระเยซูคริสตเจ้าและเจ้าสาวของพระองค์ กล่าวคือพระศาสนจักร
คนใช้ที่พระราชาส่งออกไปเพื่อเชื้อเชิญผู้ที่ได้รับเชิญแล้ว แสดงให้เห็นว่าพระราชาเคยเชิญมาก่อนแล้ว และพว
กแขกก็ได้ตอบรับว่าจะมาร่วมงานเลี้ยง แต่พองานวิวาห์มงคลคืบคลานใกล้เข้ามา แขกผู้รับเชิญต่างปฏิเสธที่จะมา นับตั้งแต่
พระเป็นเจ้าทรงเรียกอับราฮัม (ประมาณ 1850 ปีก่อนคริสตกาล เทียบ ปฐมกาล 18:18) พระองค์ก็ได้ทรงเชื้อเชิญชาวยิวใ
ห้เข้ามาในพระราชัยของพระเมสสิยาห์ บรรดาประกาศกในพระธรรมเก่าก็ได้เชื้อเชิญชาวยิวตลอดมาทุกยุคทุกสมัย แต่พอพระเยซูคริสตเจ้าปรากฏมา ชาวยิวไม่ได้ต้อนรับพระองค์ (เทียบ ยน 1:11)
พระราชาได้ส่งพวกคนใช้ไปอีกครั้งหนึ่ง พระราชาได้ทรงพระพิโรธ เพราะพวกแขกไม่ใยดีต่อคำเชื้อเชิญ แต่เนื่
องจากพระองค์ทรงประกอบด้วยพระทัยเมตตา พระองค์จึงได้ทรงส่งคนใช้ออกไปเชิญใหม่ คนใช้พวกแรกได้แก่ประกาศกใน
พระธรรมเก่า พวกที่สองก็ได้แก้พวกอัครสาวก พวกสาวกได้ประกาสว่างานวิวาห์มงคลพร้อมแล้ว กล่าวคือ อาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว
แต่พวกเขาไม่สนใจ บรรดาแขกต่างคนต่างก็ไปทำธุระของตน พวกเขาไม่มีเวลาสำหรับพระราชา หรืออาณาจัก
รสวรรค์ของพระองค์ ผู้ที่ได้รับเชิญบางคนร้ายกว่านั้นอีก พวกเขาได้ข่มเหงทำร้ายและได้ฆ่าพวกคนใช้ ถ้าหากเราอ่านกิจกา
รอัครสาวก เราจะเข้าใจข้อความตอนนี้ได้ดี เพราะอัครสาวกหลาย ๆ องค์ได้ถูกเบียดเบียน ถูกเฆี่ยนตี และถูกจับใส่คุก และที่สุดสานุศิษย์บางองค์ได้ถูกฆ่า เช่น นักบุญสเตเฟน เป็นต้น
เมื่อพระราชาได้ทราบข่าว ผู้ที่เข่นฆ่าคนใช้ของพระราชาก็ต้องโทษด้วย พระราชาได้ทรงส่งกองทัพของพระองค์ไ
ปทำลาย บรรดาฆาตกร และได้เผาเมืองของพวกเขา นิทานเปรียบเทียบนี้อาจจะเป็นคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสตเจ้าก็ได้
จากประวัติศาสตร์ เราทราบว่า ในปี ค.ศ. 70 กองทัพโรมัน ภายใต้การนำของตีตัส ได้บุกรุกกรุงเยรูซาเลม ได้ทำลายและได้เผาเมือง
ผู้ที่ได้รับเชิญนั้นไม่เหมาะสม ไม่ใช่พระราชาต้องการขจัดพวกเขา แต่เพราะว่าพวกเขาทำตัวไม่เหมาะสมกับกา
รเลี้ยง เนื่องจากความชั่วช้าของพวกเขา
จงไปตามถนนหนทาง เนื่องจากชนชั้นนำไม่สนใจ และงานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว พระราชาจึงมีพระบัญชาให้คนใช้ออ
กไปเชื้อเชิญคนตามถนนหนทางซึ่งเป็นสามัญชน และไม่มีตำแหน่งที่สำคัญในสังคม
พวกคนใช้ได้รวบรวมทั้งคนดีและคนชั่ว ผู้ส่งข่าวของพระเจ้าแผ่นดิน (บรรดาอัครสาวก) ได้ออกไปตามถนนหนทา
ง เพื่อไปประกาศว่าพระราชาได้จัดงานเลี้ยงไว้แล้ว กล่าวคือ ไปประกาศพระวรสารในดินแดนต่างศาสนาว่าพระเยซูคริสตเจ้
าได้ทรางสถาปนาพระศาสนจักรแล้ว ประชาชนเหล่านั้นต่างก็รีบมาในงานเลี้ยงด้วยความปิติยิดี พวกเขาได้สมัครใจมาเป็นสา
นุศิษย์ของพระเยซูเจ้า และได้กลายเป็นประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรแทนพวกฟารีสี ผลก็คือ งานวิวาห์มงคลนั้นก็เต็
มไปด้วยแขก เราควรจะจดจำไว้เสมอว่า พระเป็นเจ้าทรงมีแผนการณ์จะช่วยคนต่างศาสนาให้เข้าในอุระของศาสนจักร แม้ว่
าพวกฟาริสีจะมีท่าทีอย่างไรต่อพระวรสาร นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ต้องการเน้นว่าพระเป็นเจ้าทรงทอดทิ้งพวกฟาริสีที่จองหอ
ง และพระองค์บันดาลให้คนต่างศาสนาที่ถูกเหยียดหยามจากพวกฟาริสีนั้นเข้าแทนที่พวกฟาริสีเองในอาณาจักรสวรรค์
คนที่ไม่ได้สวมเสื้อวิวาห์ ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางพระคัมภีร์ ส่วนใหญ่ถือว่าตอนนี้เป็นการเปรียบเทียบเ
รื่องใหม่ แต่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนิทานเปรียบเทียบเรื่องที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เพราะว่าในนิทานเปรียบเทียบเรื่อง
หลังนี้ก็มีทั้งคนดีและคนชั่วที่มาจากถนนหนทาง นิทานเปรียบเทียบเรื่องหลังนี้ต้องการอธิบายว่า แม้คนที่ถูกเชื้อเชิญแล้ว ถ้าหากดำเนินชีพไม่เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์ก็จะต้องโทษด้วย
เพื่อนเอ๋ย ท่านเข้ามาในงานวิวาห์มงคลโดยไม่สวมเสื้อวิวาห์ได้อย่างไรกัน แน่นอน ในงานเช่นนี่แขกแต่ละคนจะ
ต้องสวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์มงคลที่เขาคงจะหามาได้ไม่ยากนัก เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าภาพซึ่งเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน
มิฉะนั้น พระราชาคงจะไม่ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่ได้รับเชิญจากผู้นั้น การที่เขาไม่สวมเสื้อที่เหมาะสมกับโอกาสแสดงว่าเขาขา
ดความนับถือต่อเจ้าภาพ แต่เขาเงียบ ผู้ผินั้นไม่ได้โต้ตอบป้องกันตัว แสดงว่าเขายอมรับผิด และไม่อยากแก้ตัว การที่พระท
รงเรียกคนต่างศาสนาให้เข้ามามีส่วนร่วมในพระศาสนจักรนั้น ต้องถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ทีเดียว ถ้าหากบางคนทำตัวไม่สมกับเกีย
รติยศอันนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะดำรงชีพตามหลักพระวรสารได้ไม่ยากนัก เพราะพระเป็นเจ้าทรงประทานพระหรรษทานที่จำเป็นแก่เขา ถ้าหากเข้าต้องโทษ ก็ต้องถือว่าเป็นเพราะความผิดของเขาเอง เขาจะโทษใครไม่ได้
หลายคนถูกเรียกแต่น้อยคนถูกเลือก ทุกคนที่ถูกเรียกได้รับพระหรรษทานมีเพียงพอจากพระเป็นเจ้าเพื่อเอาตัวรอ
ด ถึงกระนั้น จากนิทานเปรียบเทียบบางคนอาจจะไม่ร่วมมือกับพระหรรษทานเพราะความผิดของเขาเอง เขาจึงต้องรับโทษ
|