หน้าหลักเช็คเมลล์ติดต่อเราสมุดเยี่ยมลิงค์คาทอลิกแผนผังเวบไซด์

ค้นหาข้อมูล :

 การวิวาห์มงคล
(มธ 22:2-14 เทียบ ลก 14:16-24)

คำอธิบาย

                       พวกยิวทั่วๆ ไป เป็นต้นพวกฟาริสีตัดสินว่า  มิใช่แต่เพียงพวกเขาจะได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์เท่านั้น  แต่พวกเขาจะได้ตำแหน่งดี ๆ หรือเป็นหัวหน้าในอาณาจักรสวรรค์ด้วย ทั้ งนี้ ก็เพราะว่าพระเมสสิยาห์นั้นบังเกิดมาในเชื้อชาติของพวกเขา  ถ้าหากพระคริสตเจ้าซึ่งเป็นพระบุตรพระเจ้าที่รอบรู้ทุกอย่างถือว่าภัยพิบัตินั้นรุนแรงมากจนกระทั่งว่า พระองค์ยอมรับคว ามยากลำบากและทนทุกข์ทรมานเพื่อช่วยเรา  ใครเล่าจะถือว่าภัยพิบัตินั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย  หรือดำรงชีพราวกับว่านรกไม่มี

                 แม้เราจะไม่สามารถเข้าใจถึงหายนะประการนั้นทั้งหมด อย่างไรก็ดีเราก็พอจะเ ข้าใจได้บ้าง เพราะเราทุกคนต่างก็เคยประสบความทุกข์ร้อนมาแล้ว ไม่ทางกายก็ทางใจ เช่น  ปวดหัว  ปวดฟัน  กระดูกหัก นอนไม่หลับ อัมพาต ฯลฯ  และเขาก็พยายามหาหมอหรือหยู กยาเพื่อจะได้บรรเทาความเจ็บปวดนั้น แม้ว่าจะต้องเสียเงินเสียทองก็ตาม

                 ถ้าหากแพทย์บอกเราว่าอีกไม่กี่วันก็หาย  เราก็รู้สึกดีใจมากแล้ว  ถ้าหากความเจ็ บปวดนั้นคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักจบสิ้น  ถ้าหากไม่มียาชนิดใดที่จะบรรเทาความเจ็บปวดให้ลดน้อยลง ถ้าหากเราต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นโดยไม่มีวันตายล่ะ เขาจะมีความรู้สึกอย่างไร

                 ในด้านความเสียหายก็เช่นกัน  เราต่างก็มีความรู้สึกเสียดายมาแล้ว  เช่น  เราเสียใจและเสียดายที่บิดามารดา ญา ติพี่น้อง  หรือคนที่เรารักใคร่ต้องตายพรากจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา  แม้เราจะทราบว่าเขายังมีหวังในชีวิตหน้า  และเรายังอ าจจะพบกันในชีวิตหน้าก็ตาม  ยิ่งกว่านั้น  นานๆ ไปเราก็ลืมความรู้สึกประการนั้นได้  แต่ว่าเราจะเศร้าสักเพียงไร  ถ้าหากว่าเราต้องพรากจากเขาเพราะความผิดพลาดที่เต็มใจของเขา

                 วิญญาณที่ต้องโทษในนรกจะทราบถึงความดีงามของพระเป็นเจ้าในวันพิพากษา เขาจะทราบอย่างแจ้งชัดว่า เขา สูญเสียบ่อเกิดขององค์คุณงามความดี  และไม่ใช่ว่าเขาจะต้องพรากจากไปภายในวันสองวันหรือตลอดปี  แต่ตลอดทั้งชั่วนิรันด ร  และมิใช่แต่สูญเสียพระเป็นเจ้าเท่านั้น เขายังจะต้องทนทุกข์ทรมานด้วย เพราะฉะนั้น  ไม่ใช่เป็นเป็นเรื่องแปลกประหลา ดเลย ที่เราอ่านพบนักบุญบางองค์ถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อคิดถึงโทษนรก และแม้แต่เพียงได้ยินคำว่า “นรก” เท่านั้น

                 ถึงกระนั้นก็ดี  มีคริสตชนมากมายในสมัยของเรานี้ที่กำลังมุ่งไปสู่หายนะอันนั้น เขาได้เลือกดำรงชีพตามความสนุ กสบายฝ่ายเนื้อหนัง เขาไม่เคยสนใจเกี่ยวกับพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าและพระศาสนจักร วัดวาไม่เคยเหยียบ  การทำบุญท ำทานเพื่อแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ก็ไม่เคยทำ  การภาวนาแก้บาปรับศีลเป็นเครื่องมือช่วยให้เขาเอาตัวรอดก็ไม่เคยหยิบเ อามาใช้  เนื่องจากเขาไม่มีเวลา เพราะต้องสาละวนกับโลกที่เขาถือว่าสำคัญกว่า เขาจะเป็นเหมือนเศรษฐีในนิทานเปรียบเที ยบเรื่อง เศรษฐีกับลาซารัส กว่าเขาจะสำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังจะแก้ตัวด้วยว่าไม่มีใครเตือนเขาให้กลับใจ แต่เขาจะได้รับคำตอบว่า โมเสสและประกาศกได้กล่าวเตือนเขาแล้ว  ยิ่งกว่านั้นเขาก็เคยได้ฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้าเองในพระคัมภีร์  และเป็นต้นในพระวรสาร  ฉะนั้น  ข้อแก้ตัวใดๆ ของเขาฟังไม่ขึ้นเลย

                 พระเยซูเจ้าทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า  เนื่องจากการนับถือพระเป็นเจ้าแต่ภายน อก ความจองหอง และใจที่ผูกพันธ์กับของของโลก พวกเขามิใช่แต่เพียงสูญเสียอภิสิทธิ์ในฐานะที่พวกเขาเป็นประชาชนที่พ ระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรเท่านั้น  แต่ยิ่งกว่านั้นอีก  พวกเขาจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์  เพราะว่าพวกเขาได้จงใจตัดตัวเองออ กจากอิสราเอลใหม่ กล่าวคือ พระศาสนจักรที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งขึ้น  ทั้งนี้ ก็เพราะว่าพระศาสนจักรเท่านั้นเป็นประตูสวรรค์ (เทียบ  ลก 14:16-24)

                 อย่างไรก็ดี  บรรดาคนบาปและคนต่างศาสนา (คนที่อยู่ตามถนน) ที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์แทนพวกฟาริสีนั้น  จะต้ องประพฤติตนให้เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์จริงๆ  เขาจะต้องสวมเสื้อวิวาห์ในงานเลี้ยงด้วย

                 พระราชาซึ่งจัดงานวิวาห์มงคลเพื่อพระราชโอรส  งานนี้เป็นงานมโหฬาร และแขกผู้ได้รับเชิญนั้นจะต้องถือว่าเป็ นเกียรติจริงๆ  พระราชาคือพระบิดาเจ้า ราชโอรสคือพระเยซูคริสตเจ้า และวิวาห์มงคลนั้นเป็นการสมรสระหว่างพระเยซูคริสตเจ้าและเจ้าสาวของพระองค์  กล่าวคือพระศาสนจักร

               คนใช้ที่พระราชาส่งออกไปเพื่อเชื้อเชิญผู้ที่ได้รับเชิญแล้ว  แสดงให้เห็นว่าพระราชาเคยเชิญมาก่อนแล้ว  และพว กแขกก็ได้ตอบรับว่าจะมาร่วมงานเลี้ยง  แต่พองานวิวาห์มงคลคืบคลานใกล้เข้ามา แขกผู้รับเชิญต่างปฏิเสธที่จะมา นับตั้งแต่ พระเป็นเจ้าทรงเรียกอับราฮัม (ประมาณ 1850 ปีก่อนคริสตกาล  เทียบ ปฐมกาล  18:18) พระองค์ก็ได้ทรงเชื้อเชิญชาวยิวใ ห้เข้ามาในพระราชัยของพระเมสสิยาห์  บรรดาประกาศกในพระธรรมเก่าก็ได้เชื้อเชิญชาวยิวตลอดมาทุกยุคทุกสมัย  แต่พอพระเยซูคริสตเจ้าปรากฏมา ชาวยิวไม่ได้ต้อนรับพระองค์ (เทียบ ยน 1:11)

                 พระราชาได้ส่งพวกคนใช้ไปอีกครั้งหนึ่ง พระราชาได้ทรงพระพิโรธ  เพราะพวกแขกไม่ใยดีต่อคำเชื้อเชิญ  แต่เนื่ องจากพระองค์ทรงประกอบด้วยพระทัยเมตตา พระองค์จึงได้ทรงส่งคนใช้ออกไปเชิญใหม่  คนใช้พวกแรกได้แก่ประกาศกใน พระธรรมเก่า  พวกที่สองก็ได้แก้พวกอัครสาวก  พวกสาวกได้ประกาสว่างานวิวาห์มงคลพร้อมแล้ว กล่าวคือ อาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว

                 แต่พวกเขาไม่สนใจ บรรดาแขกต่างคนต่างก็ไปทำธุระของตน  พวกเขาไม่มีเวลาสำหรับพระราชา  หรืออาณาจัก รสวรรค์ของพระองค์  ผู้ที่ได้รับเชิญบางคนร้ายกว่านั้นอีก  พวกเขาได้ข่มเหงทำร้ายและได้ฆ่าพวกคนใช้  ถ้าหากเราอ่านกิจกา รอัครสาวก  เราจะเข้าใจข้อความตอนนี้ได้ดี เพราะอัครสาวกหลาย ๆ องค์ได้ถูกเบียดเบียน   ถูกเฆี่ยนตี และถูกจับใส่คุก  และที่สุดสานุศิษย์บางองค์ได้ถูกฆ่า เช่น นักบุญสเตเฟน เป็นต้น

                 เมื่อพระราชาได้ทราบข่าว ผู้ที่เข่นฆ่าคนใช้ของพระราชาก็ต้องโทษด้วย  พระราชาได้ทรงส่งกองทัพของพระองค์ไ ปทำลาย บรรดาฆาตกร และได้เผาเมืองของพวกเขา  นิทานเปรียบเทียบนี้อาจจะเป็นคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสตเจ้าก็ได้
จากประวัติศาสตร์ เราทราบว่า ในปี ค.ศ. 70 กองทัพโรมัน  ภายใต้การนำของตีตัส ได้บุกรุกกรุงเยรูซาเลม ได้ทำลายและได้เผาเมือง

                 ผู้ที่ได้รับเชิญนั้นไม่เหมาะสม ไม่ใช่พระราชาต้องการขจัดพวกเขา แต่เพราะว่าพวกเขาทำตัวไม่เหมาะสมกับกา รเลี้ยง  เนื่องจากความชั่วช้าของพวกเขา

                 จงไปตามถนนหนทาง เนื่องจากชนชั้นนำไม่สนใจ และงานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว  พระราชาจึงมีพระบัญชาให้คนใช้ออ กไปเชื้อเชิญคนตามถนนหนทางซึ่งเป็นสามัญชน และไม่มีตำแหน่งที่สำคัญในสังคม

                 พวกคนใช้ได้รวบรวมทั้งคนดีและคนชั่ว  ผู้ส่งข่าวของพระเจ้าแผ่นดิน (บรรดาอัครสาวก) ได้ออกไปตามถนนหนทา ง  เพื่อไปประกาศว่าพระราชาได้จัดงานเลี้ยงไว้แล้ว กล่าวคือ ไปประกาศพระวรสารในดินแดนต่างศาสนาว่าพระเยซูคริสตเจ้ าได้ทรางสถาปนาพระศาสนจักรแล้ว  ประชาชนเหล่านั้นต่างก็รีบมาในงานเลี้ยงด้วยความปิติยิดี  พวกเขาได้สมัครใจมาเป็นสา นุศิษย์ของพระเยซูเจ้า  และได้กลายเป็นประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรแทนพวกฟารีสี  ผลก็คือ งานวิวาห์มงคลนั้นก็เต็ มไปด้วยแขก เราควรจะจดจำไว้เสมอว่า พระเป็นเจ้าทรงมีแผนการณ์จะช่วยคนต่างศาสนาให้เข้าในอุระของศาสนจักร  แม้ว่ าพวกฟาริสีจะมีท่าทีอย่างไรต่อพระวรสาร  นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ต้องการเน้นว่าพระเป็นเจ้าทรงทอดทิ้งพวกฟาริสีที่จองหอ ง  และพระองค์บันดาลให้คนต่างศาสนาที่ถูกเหยียดหยามจากพวกฟาริสีนั้นเข้าแทนที่พวกฟาริสีเองในอาณาจักรสวรรค์

                 คนที่ไม่ได้สวมเสื้อวิวาห์ ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางพระคัมภีร์  ส่วนใหญ่ถือว่าตอนนี้เป็นการเปรียบเทียบเ รื่องใหม่  แต่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนิทานเปรียบเทียบเรื่องที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เพราะว่าในนิทานเปรียบเทียบเรื่อง หลังนี้ก็มีทั้งคนดีและคนชั่วที่มาจากถนนหนทาง นิทานเปรียบเทียบเรื่องหลังนี้ต้องการอธิบายว่า  แม้คนที่ถูกเชื้อเชิญแล้ว  ถ้าหากดำเนินชีพไม่เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์ก็จะต้องโทษด้วย

                 เพื่อนเอ๋ย ท่านเข้ามาในงานวิวาห์มงคลโดยไม่สวมเสื้อวิวาห์ได้อย่างไรกัน แน่นอน  ในงานเช่นนี่แขกแต่ละคนจะ ต้องสวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์มงคลที่เขาคงจะหามาได้ไม่ยากนัก  เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าภาพซึ่งเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน มิฉะนั้น พระราชาคงจะไม่ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่ได้รับเชิญจากผู้นั้น การที่เขาไม่สวมเสื้อที่เหมาะสมกับโอกาสแสดงว่าเขาขา ดความนับถือต่อเจ้าภาพ  แต่เขาเงียบ ผู้ผินั้นไม่ได้โต้ตอบป้องกันตัว  แสดงว่าเขายอมรับผิด และไม่อยากแก้ตัว การที่พระท รงเรียกคนต่างศาสนาให้เข้ามามีส่วนร่วมในพระศาสนจักรนั้น ต้องถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ทีเดียว ถ้าหากบางคนทำตัวไม่สมกับเกีย รติยศอันนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะดำรงชีพตามหลักพระวรสารได้ไม่ยากนัก เพราะพระเป็นเจ้าทรงประทานพระหรรษทานที่จำเป็นแก่เขา  ถ้าหากเข้าต้องโทษ ก็ต้องถือว่าเป็นเพราะความผิดของเขาเอง  เขาจะโทษใครไม่ได้

                 จงเหวี่ยงเขาออกไปในที่มืดข้างนอก  คนที่แต่งตัวไม่เหมาะสมในงานวิวาห์มงคลจะอยู่ร่วมทานเลี้ยงกับแขกอื่น ๆ ไม่ได้ฉันใด  คนบาปหรือคนที่ไม่มีคุณธรรมก็จะเข้าสวรรค์ไม่ได้ฉันนั้น การมัดมือและเท้าของผู้ผิด  แสดงว่าผู้ที่ขาดความนับ ถือต่อพระราชานั้นจะหนีจากอาชญาโทษไม่พ้น  ความมืดภายนอกและการขบฟันด้วยความขุ่นเคือง หมายถึงการสูญเสียความ สุขและได้รับความทุกข์ทรมานพวกยิวทั่วๆ ไป เป็นต้นพวกฟาริสีตัดสินว่า  มิใช่แต่เพียงพวกเขาจะได้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์เ ท่านั้น  แต่พวกเขาจะได้ตำแหน่งดี ๆ หรือเป็นหัวหน้าในอาณาจักรสวรรค์ด้วย ทั้งนี้  ก็เพราะว่าพระเมสสิยาห์นั้นบังเกิดมาในเ ชื้อชาติของพวกเขา  ถ้าหากพระคริสตเจ้าซึ่งเป็นพระบุตรพระเจ้าที่รอบรู้ทุกอย่างถือว่าภัยพิบัตินั้นรุนแรงมากจนกระทั่งว่า พร ะองค์ยอมรับความยากลำบากและทนทุกข์ทรมานเพื่อช่วยเรา ใครเล่าจะถือว่าภัยพิบัตินั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือดำรงชีพราวกับว่านรกไม่มี

                 แม้เราจะไม่สามารถเข้าใจถึงหายนะประการนั้นทั้งหมด  อย่างไรก็ดีเราก็พอจะเข้าใจได้บ้าง เพราะเราทุกคนต่าง ก็เคยประสบความทุกข์ร้อนมาแล้ว  ไม่ทางกายก็ทางใจ  เช่น  ปวดหัว  ปวดฟัน  กระดูกหัก นอนไม่หลับ อัมพาต ฯลฯ  และเ ขาก็พยายามหาหมอหรือหยูกยาเพื่อจะได้บรรเทาความเจ็บปวดนั้น แม้ว่าจะต้องเสียเงินเสียทองก็ตาม

                 ถ้าหากแพทย์บอกเราว่าอีกไม่กี่วันก็หาย  เราก็รู้สึกดีใจมากแล้ว  ถ้าหากความเจ็บปวดนั้นคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ โดยไ ม่รู้จักจบสิ้น ถ้าหากไม่มียาชนิดใดที่จะบรรเทาความเจ็บปวดให้ลดน้อยลง ถ้าหากเราต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นโดยไม่มีวันตายล่ะ  เขาจะมีความรู้สึกอย่างไร

                 ในด้านความเสียหายก็เช่นกัน  เราต่างก็มีความรู้สึกเสียดายมาแล้ว  เช่น  เราเสียใจและเสียดายที่บิดามารดา ญา ติพี่น้อง  หรือคนที่เรารักใคร่ต้องตายพรากจากไปอย่างไม่มีวันกลับมา  แม้เราจะทราบว่าเขายังมีหวังในชีวิตหน้า  และเรายังอ าจจะพบกันในชีวิตหน้าก็ตาม  ยิ่งกว่านั้น  นานๆ ไปเราก็ลืมความรู้สึกประการนั้นได้  แต่ว่าเราจะเศร้าสักเพียงไร  ถ้าหากว่าเราต้องพรากจากเขาเพราะความผิดพลาดที่เต็มใจของเขา

                 วิญญาณที่ต้องโทษในนรกจะทราบถึงความดีงามของพระเป็นเจ้าในวันพิพากษา เขาจะทราบอย่างแจ้งชัดว่า เขา สูญเสียบ่อเกิดขององค์คุณงามความดี  และไม่ใช่ว่าเขาจะต้องพรากจากไปภายในวันสองวันหรือตลอดปี  แต่ตลอดทั้งชั่วนิรันด ร  และมิใช่แต่สูญเสียพระเป็นเจ้าเท่านั้น เขายังจะต้องทนทุกข์ทรมานด้วย เพราะฉะนั้น  ไม่ใช่เป็นเป็นเรื่องแปลกประหลา ดเลย ที่เราอ่านพบนักบุญบางองค์ถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อคิดถึงโทษนรก และแม้แต่เพียงได้ยินคำว่า “นรก” เท่านั้น

                 ถึงกระนั้นก็ดี  มีคริสตชนมากมายในสมัยของเรานี้ที่กำลังมุ่งไปสู่หายนะอันนั้น เขาได้เลือกดำรงชีพตามความสนุ กสบายฝ่ายเนื้อหนัง เขาไม่เคยสนใจเกี่ยวกับพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าและพระศาสนจักร วัดวาไม่เคยเหยียบ  การทำบุญท ำทานเพื่อแสดงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ก็ไม่เคยทำ  การภาวนาแก้บาปรับศีลเป็นเครื่องมือช่วยให้เขาเอาตัวรอดก็ไม่เคยหยิบเ อามาใช้  เนื่องจากเขาไม่มีเวลา เพราะต้องสาละวนกับโลกที่เขาถือว่าสำคัญกว่า เขาจะเป็นเหมือนเศรษฐีในนิทานเปรียบเที ยบเรื่อง เศรษฐีกับลาซารัส กว่าเขาจะสำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังจะแก้ตัวด้วยว่าไม่มีใครเตือนเขาให้กลับใจ แต่เขาจะได้รับคำตอบว่า โมเสสและประกาศกได้กล่าวเตือนเขาแล้ว  ยิ่งกว่านั้นเขาก็เคยได้ฟังพระวาจาของพระเป็นเจ้าเองในพระคัมภีร์  และเป็นต้นในพระวรสาร  ฉะนั้น  ข้อแก้ตัวใดๆ ของเขาฟังไม่ขึ้นเลย

                 พระเยซูเจ้าทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่า  เนื่องจากการนับถือพระเป็นเจ้าแต่ภายน อก ความจองหอง และใจที่ผูกพันธ์กับของของโลก พวกเขามิใช่แต่เพียงสูญเสียอภิสิทธิ์ในฐานะที่พวกเขาเป็นประชาชนที่พ ระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรเท่านั้น  แต่ยิ่งกว่านั้นอีก  พวกเขาจะไม่ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์  เพราะว่าพวกเขาได้จงใจตัดตัวเองออ กจากอิสราเอลใหม่ กล่าวคือ พระศาสนจักรที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงตั้งขึ้น  ทั้งนี้ ก็เพราะว่าพระศาสนจักรเท่านั้นเป็นประตูสวรรค์ (เทียบ  ลก 14:16-24)

                 อย่างไรก็ดี  บรรดาคนบาปและคนต่างศาสนา (คนที่อยู่ตามถนน) ที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์แทนพวกฟาริสีนั้น  จะต้ องประพฤติตนให้เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์จริงๆ  เขาจะต้องสวมเสื้อวิวาห์ในงานเลี้ยงด้วย

                 พระราชาซึ่งจัดงานวิวาห์มงคลเพื่อพระราชโอรส  งานนี้เป็นงานมโหฬาร และแขกผู้ได้รับเชิญนั้นจะต้องถือว่าเป็ นเกียรติจริงๆ  พระราชาคือพระบิดาเจ้า ราชโอรสคือพระเยซูคริสตเจ้า และวิวาห์มงคลนั้นเป็นการสมรสระหว่างพระเยซูคริสตเจ้าและเจ้าสาวของพระองค์  กล่าวคือพระศาสนจักร

               คนใช้ที่พระราชาส่งออกไปเพื่อเชื้อเชิญผู้ที่ได้รับเชิญแล้ว  แสดงให้เห็นว่าพระราชาเคยเชิญมาก่อนแล้ว  และพว กแขกก็ได้ตอบรับว่าจะมาร่วมงานเลี้ยง  แต่พองานวิวาห์มงคลคืบคลานใกล้เข้ามา แขกผู้รับเชิญต่างปฏิเสธที่จะมา นับตั้งแต่ พระเป็นเจ้าทรงเรียกอับราฮัม (ประมาณ 1850 ปีก่อนคริสตกาล  เทียบ ปฐมกาล  18:18) พระองค์ก็ได้ทรงเชื้อเชิญชาวยิวใ ห้เข้ามาในพระราชัยของพระเมสสิยาห์  บรรดาประกาศกในพระธรรมเก่าก็ได้เชื้อเชิญชาวยิวตลอดมาทุกยุคทุกสมัย  แต่พอพระเยซูคริสตเจ้าปรากฏมา ชาวยิวไม่ได้ต้อนรับพระองค์ (เทียบ ยน 1:11)

                 พระราชาได้ส่งพวกคนใช้ไปอีกครั้งหนึ่ง พระราชาได้ทรงพระพิโรธ  เพราะพวกแขกไม่ใยดีต่อคำเชื้อเชิญ  แต่เนื่ องจากพระองค์ทรงประกอบด้วยพระทัยเมตตา พระองค์จึงได้ทรงส่งคนใช้ออกไปเชิญใหม่  คนใช้พวกแรกได้แก่ประกาศกใน พระธรรมเก่า  พวกที่สองก็ได้แก้พวกอัครสาวก  พวกสาวกได้ประกาสว่างานวิวาห์มงคลพร้อมแล้ว กล่าวคือ อาณาจักรสวรรค์มาถึงแล้ว

                 แต่พวกเขาไม่สนใจ บรรดาแขกต่างคนต่างก็ไปทำธุระของตน  พวกเขาไม่มีเวลาสำหรับพระราชา  หรืออาณาจัก รสวรรค์ของพระองค์  ผู้ที่ได้รับเชิญบางคนร้ายกว่านั้นอีก  พวกเขาได้ข่มเหงทำร้ายและได้ฆ่าพวกคนใช้  ถ้าหากเราอ่านกิจกา รอัครสาวก  เราจะเข้าใจข้อความตอนนี้ได้ดี เพราะอัครสาวกหลาย ๆ องค์ได้ถูกเบียดเบียน   ถูกเฆี่ยนตี และถูกจับใส่คุก  และที่สุดสานุศิษย์บางองค์ได้ถูกฆ่า เช่น นักบุญสเตเฟน เป็นต้น

                 เมื่อพระราชาได้ทราบข่าว ผู้ที่เข่นฆ่าคนใช้ของพระราชาก็ต้องโทษด้วย  พระราชาได้ทรงส่งกองทัพของพระองค์ไ ปทำลาย บรรดาฆาตกร และได้เผาเมืองของพวกเขา  นิทานเปรียบเทียบนี้อาจจะเป็นคำพยากรณ์ของพระเยซูคริสตเจ้าก็ได้
จากประวัติศาสตร์ เราทราบว่า ในปี ค.ศ. 70 กองทัพโรมัน  ภายใต้การนำของตีตัส ได้บุกรุกกรุงเยรูซาเลม ได้ทำลายและได้เผาเมือง

                 ผู้ที่ได้รับเชิญนั้นไม่เหมาะสม  ไม่ใช่พระราชาต้องการขจัดพวกเขา  แต่เพราะว่าพวกเขาทำตัวไม่เหมาะสมกับกา รเลี้ยง  เนื่องจากความชั่วช้าของพวกเขา

                 จงไปตามถนนหนทาง เนื่องจากชนชั้นนำไม่สนใจ และงานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว  พระราชาจึงมีพระบัญชาให้คนใช้ออ กไปเชื้อเชิญคนตามถนนหนทางซึ่งเป็นสามัญชน และไม่มีตำแหน่งที่สำคัญในสังคม

                 พวกคนใช้ได้รวบรวมทั้งคนดีและคนชั่ว  ผู้ส่งข่าวของพระเจ้าแผ่นดิน (บรรดาอัครสาวก) ได้ออกไปตามถนนหนทา ง  เพื่อไปประกาศว่าพระราชาได้จัดงานเลี้ยงไว้แล้ว กล่าวคือ ไปประกาศพระวรสารในดินแดนต่างศาสนาว่าพระเยซูคริสตเจ้ าได้ทรางสถาปนาพระศาสนจักรแล้ว  ประชาชนเหล่านั้นต่างก็รีบมาในงานเลี้ยงด้วยความปิติยิดี  พวกเขาได้สมัครใจมาเป็นสา นุศิษย์ของพระเยซูเจ้า  และได้กลายเป็นประชากรที่พระเป็นเจ้าทรงเลือกสรรแทนพวกฟารีสี  ผลก็คือ งานวิวาห์มงคลนั้นก็เต็ มไปด้วยแขก เราควรจะจดจำไว้เสมอว่า พระเป็นเจ้าทรงมีแผนการณ์จะช่วยคนต่างศาสนาให้เข้าในอุระของศาสนจักร  แม้ว่ าพวกฟาริสีจะมีท่าทีอย่างไรต่อพระวรสาร  นิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ต้องการเน้นว่าพระเป็นเจ้าทรงทอดทิ้งพวกฟาริสีที่จองหอ ง  และพระองค์บันดาลให้คนต่างศาสนาที่ถูกเหยียดหยามจากพวกฟาริสีนั้นเข้าแทนที่พวกฟาริสีเองในอาณาจักรสวรรค์

                 คนที่ไม่ได้สวมเสื้อวิวาห์ ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางพระคัมภีร์  ส่วนใหญ่ถือว่าตอนนี้เป็นการเปรียบเทียบเ รื่องใหม่  แต่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนิทานเปรียบเทียบเรื่องที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ เพราะว่าในนิทานเปรียบเทียบเรื่อง หลังนี้ก็มีทั้งคนดีและคนชั่วที่มาจากถนนหนทาง นิทานเปรียบเทียบเรื่องหลังนี้ต้องการอธิบายว่า  แม้คนที่ถูกเชื้อเชิญแล้ว  ถ้าหากดำเนินชีพไม่เหมาะสมกับอาณาจักรสวรรค์ก็จะต้องโทษด้วย

                 เพื่อนเอ๋ย  ท่านเข้ามาในงานวิวาห์มงคลโดยไม่สวมเสื้อวิวาห์ได้อย่างไรกัน แน่นอน ในงานเช่นนี่แขกแต่ละคนจะ ต้องสวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์มงคลที่เขาคงจะหามาได้ไม่ยากนัก  เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่เจ้าภาพซึ่งเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดิน มิฉะนั้น พระราชาคงจะไม่ทรงพระพิโรธต่อผู้ที่ได้รับเชิญจากผู้นั้น การที่เขาไม่สวมเสื้อที่เหมาะสมกับโอกาสแสดงว่าเขาขา ดความนับถือต่อเจ้าภาพ  แต่เขาเงียบ ผู้ผินั้นไม่ได้โต้ตอบป้องกันตัว  แสดงว่าเขายอมรับผิด และไม่อยากแก้ตัว การที่พระท รงเรียกคนต่างศาสนาให้เข้ามามีส่วนร่วมในพระศาสนจักรนั้น ต้องถือว่าเป็นอภิสิทธิ์ทีเดียว ถ้าหากบางคนทำตัวไม่สมกับเกีย รติยศอันนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาอาจจะดำรงชีพตามหลักพระวรสารได้ไม่ยากนัก เพราะพระเป็นเจ้าทรงประทานพระหรรษทานที่จำเป็นแก่เขา  ถ้าหากเข้าต้องโทษ ก็ต้องถือว่าเป็นเพราะความผิดของเขาเอง  เขาจะโทษใครไม่ได้

                 หลายคนถูกเรียกแต่น้อยคนถูกเลือก ทุกคนที่ถูกเรียกได้รับพระหรรษทานมีเพียงพอจากพระเป็นเจ้าเพื่อเอาตัวรอ ด  ถึงกระนั้น  จากนิทานเปรียบเทียบบางคนอาจจะไม่ร่วมมือกับพระหรรษทานเพราะความผิดของเขาเอง เขาจึงต้องรับโทษ

คำสอน

                
                 พวกฟาริสีนั้นดูเหมือนว่าเป็นคนโง่แกมหยิ่ง  เนื่องจากไม่อยากฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้า  พระองค์เปิดโอกาสให้เขาได้เปลี่ยนชีวิตจากความจองหอง  พระองค์พร้อมที่จะอภัยโทษให้แก่พวกเขา  ถ้าหากพวกเขากราบขอสมาโทษจากพระองค์เหมือนกับคนบาปอื่น ๆ ทั้งหลาย เยรูซาเลม เยรูซาเลม  เจ้าเคยฆ่าบรรดาประกาศกแล้วเอาหินทุ่มบรรดาผู้ที่รับใช้มาหาเจ้า  กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เราได้พยายามรวบรวมลูกหลานของเจ้าเหมือนกับแม่ไก่ปกป้องลูก ๆ ของมันไว้ใต้ปีก  แต่เจ้าก็ไม่ยอมเลย  (มธ 23:37) นักบุญเอกุสตินกล่าวไว้ว่า “พระเป็นเจ้าได้ทรงสร้างเราโดยปราศจากความร่วมมือของเรา แต่พระองค์ไม่สามารถช่วยเราให้เอาตัวรอดได้  โดยที่เราไม่ร่วมมือกับพระองค์ เราอาจจะทำผิดเช่นเดียวกับพวกฟาริสี  เราได้รับการเชื้อเชิญให้มาในงานวิวาห์มงคล ที่จริงเราอยู่ในห้องทานเลี้ยงแล้ว  เพราะเราได้รับศีลล้างบาปและอยู่ในพระศาสนจักรแต่ว่าเรายังคงสวมเสื้อวิวาห์ที่เราได้รับเวลารับศีลล้างบาปหรือเปล่า ถ้าหากเราไม่ได้สวมหรือว่าเราทำให้เสื้อนั้นเปื้อนด้วยบาปต่าง ๆ ของเรา เราก็ไม่ดีกว่าผู้รับเชิญอื่น ๆ ที่ไม่ใยดีต่อคำเชื้อเชิญของพระเป็นเจ้า พระราชาอาจจะเข้ามาในงานเมื่อไรก็ได้  และขับไล่คนที่ไม่สวมเสื้อวิวาห์ออกไปเสียข้างนอกต่อหน้าธารกำนับ  ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่อัปยศอดสูที่สุด

               การที่เราเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรบนแผ่นดินนี้นับว่าเป็นอภิสิทธิ์และเราก็มั่นใจได้ว่าเราอยู่ในหนทางแห่งความรอด ถ้าหากเราพร้อมที่จะร่วมมือกับพระหรรษทานของพระเป็นเจ้า  แต่อุปสรรคชนิดเดียวกับที่เคยหันเหพวกฟาริสีออกจากประตูสวรรค์  เช่น  ความจองหอง  การนับถือศาสนแต่ภายนอก  การผูกพันกับข้าวของของโลก การปล่อยตัวตามความสนุกฝ่ายเนื้อหนัง การทำตามน้ำใจของตนเอง  ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้อาจจะเป็นอุปสรรคที่จะทำให้เราไม่ได้เข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ นอกจากว่าเราจะต้องตื่นเฝ้าและระวังตัวเราเองอยู่เสมอ  โลกพร้อมกับอบายมุกต่าง ๆ อยู่ใกล้เรามาก สวนสวรรค์นั้นอยู่ไกลเรามากและมองไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้น  เราจะต้องพร้อมที่จะต่อสู้กับการประจญต่าง ๆ เป็นต้น  จะต้องต่อสู้กับตัวเราเอง  และเมื่อได้ชนะตัวเราเองนั่นแหละ  เราจึงจะพิสูจน์ได้ว่าเราสมกับอาณาจักรสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ หมายความว่าเราจะต้องแบกกางเขนทุกวัน  จะต้องต่อสู้กับความลำเอียงไปในทางชั่วหรือจะต้องต่อสู้กับอำนาจฝ่ายต่ำของเรา  ความพยายามที่จะรักพระเป็นเจ้าและรักเพื่อมนุษย์ด้วยสิ้นสุดจิตใจ  ถูกแล้วเป็นเรื่องยาก  แต่พระคริสตเจ้าก็ไม่เคยเรียกร้องให้ใครทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  พระองค์ได้เป็นผู้นำ และคนจำนวนล้าน ๆ ได้ติดตามพระองค์ไปสู่ความสุขตลอดทั้งชั่วนิรันดร พระองค์ได้ทรงเรียกเราแต่ละคนด้วย และได้ประทานพระหรรษทานที่พอเพียงให้แก่เรา  ถ้าหากเราไม้รู้จักใช้พระคุณของพระเพื่อความรอดของเรา ถ้าหากพระองค์พบว่าเราไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์มงคล เราจะไปโทษใครนอกจากตัวเราเอง เราจะก้มหน้าจะนิ่งเงียบเหมือนแขกคนนั้น และเราจะต้องรับโทษเช่นเดียวกัน โปรดสำนึกไว่ว่า พระเป็นเจ้าทรงเรียกเราเหมือนกับคนอื่น ๆ ทั้งหลาย ฉะนั้น เราก็จะต้องอยู่ในจำนวนผู้ได้รับการเลือกสรรด้วย
 

ที่มา : แผนกคริสตศาสนธรรม อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ