1. การเรียกชื่อและขอพระสังฆราชบวชพระสงฆ์ ( เพื่อขอพระสังฆราชให้ทำการบวช และ ถามว่าเขาเหมาะสมจริงหรือไม่ )
2. คำปราศรัยของพระสังฆราช
( เพื่อบอกว่า พระสงฆ์จะทำหน้าที่อะไรให้พระศาสนจักร )
3. การแสดงความสมัครใจของผู้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ ( พระสังฆราชจะถามความสมัครใจของผู้เข้าัรับการบวช )
4. บทร่ำวิงวอนนักบุญทั้งหลาย (
การกระทำในส่วนนี้ เป็นการเชื้อเชิญพระศาสนจักรในสวรรค์และบนแผ่นดิน เข้าร่วมในพิธีกรรม การวิงวอนบรรดานักบุญและเทวดาในสวรรค์ ทำให้เห็นว่า
พระศาสนจักรทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดินต่างเข้าร่วมและร่วมกันสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระคุณของการรับใช้ที่พระเจ้าประทานให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงเรียก หมู่คณะ นำเสนอ และพระสงฆ์ในนามของพระเจ้า เป็นผู้รับคำตอบต่อการเลือกของผู้ถูกเลือก )
(จากหนังสือเฉลิมฉลองอภิเษกพระสังฆราช ยอแซฟ ชูศักดิ์ สิริสุทธิ์ )
5. การปกศีรษะผู้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ และบทอภิเษก
ความหมายของการปกศีรษะ เป็นการมอบพระคุณของพระจิตเจ้าเพื่อการบันดาลให้ศักดิ์สิทธิ์
และการมอบอำนาจเพื่อการทำหน้าที่ที่ได้รับให้สำเร็จตามฐานันดรของการเป็นพระสงฆ์ การบันดาลให้ศักดิ์ศิทธิ์ และการมอบอำนาจทำให้ผู้รับการอภิเษกเป็นพระสงฆ์กลับเป็นบุคคลที่คล้ายกับพระคริสตเจ้าผู้เป็นสงฆ์สูงสุดและสงฆ์แต่ผู้เดียว
ความหมายของบทอภิเษก
ในแง่โครงสร้าง บทภาวนา อภิเษก แบ่งออกเป็นสามตอน ได้แก่ การระลึกถึง การอัญเชิญพระจิต และการ วิงวอน โดยที่ผู้อภิเษกจะสวดบทนี้แต่ลำพังในตอนแรก และตอนสุดท้าย ส่วนในการอัญเชิญพระจิต ผู้ร่วมอภิเษกทุกคนจะีร่วมสวดไปพร้อมกับผู้อภิเษก
ตอนแรก : การระลึกถึง บทระลึกถึงขึ้นต้นด้วยการเรียกหาพระบิดาของพระเยซูคริสตเจ้า และเรียกพระองค์ว่า พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงพระเมตตา พระเจ้าแห่งความบรรเทา จากนั้น จึงเริ่มบรรยายเพื่อระลึกถึงพระเมตตาของพระองค์ดังนี้
พระองค์สถิตอยู่ในสวรรค์ชึ้นสูงสุด แต่ทรงทอดพระเนตรมายังผู้ต่ำต้อย ทรงทราบทุกสิ่งก่อนที่มันจะเกิด แต่ด้วยพระวาจาแห่งความกรุณา พระองค์ได้ทรงวางแผนการไว้กับพระศาสนจักร ทรงกำหนดเชื้อสายของบรรดาผู้ชอบธรรม ให้สืบต่อจากอับราฮัม
ตั้งแต่เริ่มทรงตั้งผู้ปกครองและพระสงฆ์ และมิได้ทรงทอดทิ้งพระวิหารไว้ให้ขาดศาสนบริการ ทรงพอพระทัยตั้งแต่แรกเริ่มที่จะทรงรับพระเกียรติในบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้ว
นี่เป็นบทระลึกถึงแผนการความรอด
โดยในช่วงพันธสัญญาเดิม พระเ้้จ้าทรงกำหนดให้มีหัวหน้า ( เผ่า ) และสมณะ เพื่อทำหน้าทีปกครองและถวายสักการบูชาในพระวิหาร สถาบันทั้งสองเป็นภาพล่วงหน้าของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในพันธสัญญาใหม่
เพราะพระสงฆ์เป็นการกลับเป็นจริงตามแผนการความรอดในการที่พระเจ้าทรงโปรดให้มีผู้ปกครองประชากรใหม่ คือพระศาสนจักร และมีพระสงฆ์ในวิหารใหม่เสมอ
ตอนสอง : การอัญเชิญพระจิตเจ้า
พระจิตเจ้าทรงได้รับการอัญเชิญให้เสด็จมาประทับอยู่กับผู้รับเลือกนั้น ทรงถูกเรียกขานด้วยคำว่า พระจิตแห่งการปกครองและการนำ
คำซึ่งวิวัฒนาการจากคำว่า Spirtum Principalem จาก สดด : 50:14ข ซึ่งในที่นั้น ถูกใช้เพื่อหมายถึงจิตเใจ ที่นอบน้อมเชื่อฟัง คือความใจดี ความพร้อม ความใจกว้าง ในการที่จะทำตามพระบัญชาของพระเจ้า
ตอนสาม :
บทวิงวอน เพื่อขอพระพรและพระจิตเจ้า สำหรับพระสงฆ์ใหม่ ให้สามารถเป็นอย่างที่ควรเป็น ทำหน้าที่อย่างที่ควรทำ ดังนั้นในรูปแบบของการวิงวอน บอกถึงหน้าที่ำสำคัญของพระสงฆ์
6. พระสงฆ์ใหม่สวมอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ และรับการเจิม
ความหมายของอาภรณ์ ( จากหนังสืออิริยาบทและกิริยาอาการในพิธีกรรม โดย คุณพ่อเชษฐา ไชยเดช )
ในพระศาสนจักรพระกายของพระคริสตเจ้านั้น มีความแตกต่างกันในหน้าที่ ความแตกต่างของศาสน
บริกรนี้แสดงออกให้เห็นภายนอกในพิธีกรรม โดยการสวมเสื้ออาภรณ์ที่ไม่เหมือนกัน อาภรณ์เหล่านี้จึงเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงหน้าที่เฉพาะของแต่ละศาสนบริกร และในเวลาเดียวกันอาภรณ์ก็ควรจะมีส่วนให้พิธีกรรมงดงามยิ่งขึ้นด้วย
จริงอยู่ที่ว่า ตามความเชื่อคาทอลิกสอนเราให้มองเห็นตัวตนพระสังฆราช พระสงฆ์และสังฆานุกรเป็นผู้ที่คล้ายกันกับพระคริสตเจ้า ผู้ที่เรามองไม่เห็นก็ตาม แต่ในเวลาที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ของตน เป็นตัวตนพระคริสตเจ้า In persona Christi-
พวกท่านก็ควรจะสวมเสื้อกาสุลาหรือดัลมาติกา ซึ่งทำให้คนอื่นและท่านเองระลึกได้ว่า ท่านเป็นใครและจะต้องแสดงอะไรให้ผู้อื่นทราบ การสวมเสื้อยาวขาวที่เรียกว่าอัลบา แสดงให้เห็นถึงการตัดกิเลส และค่านิยมทางโลกให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง
แต่มากไปกว่านั้นเป็นเครื่องหมายที่ระลึกถึงอาภรณ์ของกษัตริย์และสงฆ์ ที่พระคริสตเจ้าและบรรดาเทพนิกรตลอดจนนักบุญ สวมใส่ในพิธีกรรมสวรรค์
ฉะนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าว พระศาสนจักรจึงย้ำเตือนศาสนบริกรให้สวมอาภรณ์ตามตำแหน่งหน้าที่ของตนในพิธีกรรม
เสื้อกาสุลา (Casula) นักพิธีกรรมตั้งแต่สมัยกลางถึงศตวรรษที่ 13 นำโดย Rabanus Mausus
ได้ให้ความหมายของเสื้อนี้ว่า เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักเมตตา ซึ่งครอบคลุมคุณธรรมทุกอย่าง มีศักดิ์ศรี มีเกียรติเหนือสิ่งอื่นใด เพราะเสื้อนี้คลุมทับเสื้อและเครื่องหมายอื่นๆ ทุกชิ้นไว้
ในคำภาวนามอบและสวมเสื้อกาสุลา
ในพิธีได้ให้ความหมายถึงความรักเมตตาเหนือธรรมชาติด้วย ในคำภาวนาขณะสวมเสื้อกาสุลา (ซึ่งในสมัยหนึ่งพระสงฆ์จะภาวนาขณะสวมเสื้อและเครื่องแต่งกายแต่ละชิ้น) มีกล่าวว่า "ข้าแต่พระเจ้า
โปรดสวมแต่งข้าพเจ้าด้วยเครื่องประดับแห่งความสุภาพถ่อมตน แห่งความรักเมตตา และสันติสุข เพื่อว่าโดยอาศัยคุณธรรมทุกๆ ด้าน ข้าพเจ้าจะสามารถเอาชนะศัตรูได้"
เสื้อกาสุลา ไม่เพียงแต่หมายถึงความรักเมตตาเท่านั้น
ต่อมายังหมายถึงคุณธรรมอื่นๆ ด้วย เป็นต้นว่า ความยุติธรรม ความศักดิ์สิทธิ์ของพระสงฆ์ ความเป็นผู้มีใจซื่อบริสุทธิ์ พระคุณของพระจิต ความกล้าหาญในการป้องกันความเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแบกแอก (แอก = ภาระ) อัน
"อ่อนนุ่มและเบา" ของพระคริสตเจ้า เพื่อติดตามพระองค์ไป นอกนั้น ยังมีความหมายถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระศาสนจักรอีกด้วย
เชือกคาดเอว (Cingulum)
ผู้ที่ให้ความหมายของผ้าคาดเอวคนแรก คือ Rabanus
Maurus ท่านว่าหมายถึง "Custodia mentis" คือ การระแวดระวังตนเอง โดยเฉพาะจากราคะตัณหา รวมทั้งความทะนงตนด้วย นักพิธีกรรมอื่นๆ มีความเห็นเหมือนกับ Amalarius ว่า เชือกหรือผ้าคาดเอว หมายถึง การควบคุมตนเอง
และการบำเพ็ญตบะอดออมอาหารการกิน ในสมัยที่พระสงฆ์ยังภาวนา "บทประจำเครื่องแต่งตัว" อยู่นั้น ขณะคาดเอว มีคำภาวนาว่าดังนี้ (บทภาวนาของพระสังฆราช) "ข้าแต่พระเจ้าโปรดคาดเอวข้าพเจ้าด้วยสายคาดแห่งความเชื่อ
และรัดใจข้าพเจ้าด้วยคุณธรรมแห่งความบริสุทธิ์ และโปรดทำลายราคตัณหาทั้งสิ้นให้หมดไปเหลือไว้แค่เฉพาะพลังแห่งความบริสุทธิ์ในตัวข้าพเจ้า"
ความหมายที่เป็นแม่บททางรูปคำสอนนั้นหมายถึงความชอบธรรมของพระคริสตเจ้า
ตามวจนะของประกาศกอิสยาห์ว่า "ความชอบธรรมจะเป็นผ้าคาดเอวของท่าน
" (อสย 11:5)
ส่วนความหมายที่เป็นแม่บททางภาพพจน์ คือ เป็นสัญลักษณ์ หมายถึงเชือกที่ผูกมัดองค์พระเยซูเจ้าขณะถูกจับและรับทรมาน
และยังหมายถึงแส้ที่โบยพระวรกายของพระองค์ด้วย
สตอลา (Stola)
นักพิธีกรรมในสมัยกลางถือว่า ผ้าคล้องคอนี้เป็นเครื่องหมายที่สำคัญมาก ที่บ่งบอกศักดิ์ของสังฆานุกรหรือพระสงฆ์ที่ได้รับจากศีลบวช หมายถึง
"แอก" หรือภาระหน้าที่ของพระคริสตเจ้าที่พวกท่านจะแบกไว้ จากเครื่องหมายพื้นฐานนี้มีความหมายอื่นๆ ที่ตามมาคือ หมายถึงคุณธรรมอันจำเป็นที่สังฆานุกรหรือพระสงฆ์จะต้องมีเพื่อประกอบภาระหน้าที่ของท่าน ได้แก่ ความสุภาพถ่อมตน
(ความหมายตาม Amalarius) ความนบนอบเชื่อฟัง (ความหมายตาม Rupertus แห่ง Deutz ความบริสุทธิ์ (Onorius) ความปรีชาฉลาดและความอดทน (พระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่สาม) ความเข้มแข็ง (Ivone แห่ง Chartres) Rabanus ได้ให้ความหมายที่แคบเข้า
หมายถึง ภาระหน้าที่การประกาศ เทศนา และกล่าวว่า ผ้าสตอลา (Stola) ทำให้ระลึกถึงผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้าที่เหมาะสม หมายความว่า ในการเทศนาจะต้องมีการเตรียมและความรู้สึกว่ากำลังทำอะไร
การใช้เชือกรัดเอวรัดผ้าสตอลา (stola)
ไว้ ก็มีความหมายตามนักพิธีกรรม หมายถึงคุณธรรม (ที่ผ้าstola เป็นเครื่องหมาย) ที่จะต้องรวบรวมไว้ในครอบครองของตัวตนเองไว้ให้แน่นเพื่อว่า เวลาถูกมารผจญ ชีวิตจะได้ไม่ต้องอับปาง
7. พระสังฆราชรับผ้าปูตัก เอาน้ำมันคริสมาเจิมฝ่ามือผู้รับศีลบวช
การเจิมด้วยน้ำมันคริสตมา ในพระคัมภีร์ น้ำมันถูกใช้เพื่อหมายถึง ความยินดี การหล่อเลี้ยง ยารักษา แสงสว่าง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เครื่องหมายของการได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า ในพิธีอภิเษก
การเจิมด้วยน้ำมันคริสมาแสดงถึงการเป็นเหมือนกับพระคริสตเจ้า คือ เหมือนกับพระบิดาทรงเจิมพระคริสตเจ้าด้วยพระจิต และถูกเลือกให้เป็นมหาสมณะ
มีส่วนในสังฆภาพของพระคริสตเจ้าและมีความคล้ายกับพระองค์ในการได้รับพระจิตการเจิมภายนอกเป็นการแสดงถึงการเจิมจากภายในที่แลเห็นไม่ได้ ดังคำที่ใช้ในการเจิมว่า ขอให้พระเจ้า ซึ่งโปรดให้ท่านมีส่วนในสังฆภาพของพระคริสตเจ้า
พระมหาสมณะได้หลั่งน้ำทิพย์ และประทานพระพรฝ่ายจิตมาให้ท่านอย่างอุดมสมบูรณ์
8. พระสงฆ์ใหม่รับถ้วยกาลิกส์และจานรองแผ่นปัง
เพื่อถวายแด่พระเจ้า และสำนึกถึงสิ่งซึ่งพระสงฆ์จะกระทำ
เจริญชีวิตให้สมกับสิ่งที่พระสงฆ์จะปฏิบัติ และจงประพฤติตนให้สอดคล้องกับพระคริสตเจ้า ผู้ทรงถวายองค์บนไม้กางเขน
9. พระสังฆราชสวมกอดผู้รับศีลบวช (มอบสันติสุขให้)
เป็นการร่วมแสดงความชื่นชมยินดีกับ พระสงฆ์ใหม่
พิธีบวชพระสงฆ์จบลง เริ่มภาคบูชาขอบพระคุณด้วยการแห่ของถวาย
|