1.เล่าประวัติส่วนตัว มีแนวทางการใช้ชีวิตอย่างไรบ้าง

ข้อมูลทั่วไป
•บิดาชื่อ เปาโล มีชัย หลิวสิริ
•มารดาชื่อ อิมมากูเร็ท ภมิษา  จิรสุนทรชัย
•เป็นบุตรคนที่ 1 ในจำนวนพี่น้อง 3 คน  ได้แก่
                     คนแรก   ชื่อยอแซฟ  สุพัฒน์ หลิวสิริ
                   คนที่สอง ชื่อเปโตร-เปาโล สุพจน์ หลิวสิริ
                   คนที่สาม ชื่อยอห์นบอสโก  สุพล  จิรสุนทรชัย

•รับศีลล้างบาปวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1981  ที่วัดน้อยโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ โดยพระอัครสังฆราชฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์  โกวิทวาณิช
•คุณพ่อผู้ส่งเข้าบ้านเณร  คุณพ่อเปาโล สุรชัย  ชุ่มศรีพันธุ์ สังกัดวัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร  บางเชือกหนัง

ประวัติโดยสังเขป
เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524  ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นบุตรชายคนแรกในบรรดาพี่น้อง 3 คน ล้างบาปที่วัดน้อยเซนต์โยเซฟ คอนเวนต์ โดยพระอัครสังฆราชฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช (สมัยที่ยังเป็นคุณพ่ออยู่) แล้วไปเติบโตที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เรียนอนุบาลที่โรงเรียนสันติวิทยา จังหวัดเชียงราย หลังจากที่เรียนจบอนุบาลแล้ว  บิดาก็ย้ายมาทำงานในกรุงเทพฯ จึงต้องย้ายครอบครัวมาอยู่กรุงเทพฯ  โดยไปเช่าบ้านอยู่แถวเซนต์หลุยส์ซอย 3  เข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1   ที่โรงเรียนพระแม่มารีสาทร จากนั้นได้ซื้อบ้านและย้ายไปอยู่แถววัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร (บางเชือกหนัง)  เข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่โรงเรียนตรีมิตรวิทยา

ส่วนแนวทางการใช้ชีวิต ในวัยเด็กก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป  ดำเนินชีวิตเรียบง่าย และเชื่อฟังบิดามารดาและผู้หลักผู้ใหญ่เสมอ สวดภาวนาด้วยกันเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนเข้านอน เมื่อโตขึ้นสิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้ผมได้เติบโตในความเชื่อศรัทธา มีความวางใจในพระเจ้า แม้จะมีปัญหาอุปสรรคบ้างในชีวิต แต่ก็ยังมั่นใจในความช่วยเหลือและพระประสงค์ของพระเจ้าเสมอ 

2.มีแรงบันดาลใจอะไรที่ทำให้เลือกที่จะเข้าบ้านเณร และตัดสินใจบวชพระสงฆ์

ตั้งแต่เรียนชั้น ป.2 ได้มีโอกาสเป็นเด็กช่วยมิสซา คุณพ่อคุณแม่มักจะพาไปวัดทุกวัน  ก็จะได้ขึ้นช่วยมิสซาทุกวัน  ทำให้มีโอกาสใกล้ชิดพระแท่น  และเห็นแบบอย่างที่ดีของบรรดาคุณพ่อและบราเดอร์ที่มาทำงานที่วัด จึงรู้สึกมีความสนใจในชีวิตพระสงฆ์  และในระหว่างที่เรียนอยู่ในระดับประถมศึกษาตอนปลาย ก็ได้มีโอกาสไปสัมผัสชีวิตกระแสเรียกตามค่ายต่าง ๆ หลายค่าย และสนใจที่จะเข้าบ้านเณร  โดยสมัครเข้าคณะเยสุอิตที่เชียงใหม่ก่อน  เมื่อจบระดับชั้นประถมศึกษาแล้ว  และถึงเวลาเดินทางก็ป่วยหนักมากจนไม่สามารถเดินทางได้ จึงยกเลิกที่จะไปเข้าบ้านเณรที่นั้น และไปเข้าบ้านเณรเล็กยอแซฟแทน

ในตอนแรก ๆ ก็ไม่ได้มีความชัดเจนในกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์เสียทีเดียว แต่หลังจากได้รับการอบรมและเติบโตในบ้านเณร  และได้พิจารณาไตร่ตรองถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาในชีวิตจึงมั่นใจว่า  พระเจ้าทรงเรียกผมและเตรียมผมไว้สำหรับงานต่าง ๆ ของพระองค์

3.ทราบว่าเป็นพี่คนโต มีการคิด การตัดสินใจอย่างไร ระหว่างครอบครัวกับกระแสเรียกชีวิตสงฆ์
เมื่อเข้าสู่บ้านเณรใหญ่แสงธรรมแล้ว ก็มีความรู้สึกเป็นห่วงครอบครัว  เพราะในตอนนั้น  น้องชายอีก 2 คนก็เข้าบ้านเณรเหมือนกัน ผมในฐานะพี่ชายคนโตก็ย่อมมีความรู้สึกเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่  เพราะที่บ้านก็เหลือเพียงพ่อกับแม่เท่านั้น  กลัวว่าเมื่อท่านแก่ตัวลงไปจะไม่มีใครคอยดูแล  ซึ่งก็เคยได้แบ่งปันความรู้สึกนี้ให้กับเพื่อน ๆ โดยเฉพาะเมื่อได้มีโอกาสเข้าอบรม CPE (Clinical Pastoral Education) ที่โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ และก็ได้รับความเข้าใจและคำแนะนำที่ดี แต่ความรู้สึกนี้ก็ยังคงอยู่ แต่สุดท้ายผมก็ฝากไว้ในความดูแลของพระเจ้า จนในที่สุดน้อง ๆ ของผมไม่ได้เป็นเณรแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้น และคิดเสมอว่านี่ก็เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับผม

4.ช่วงที่อยู่บ้านเณร พบปัญหาและอุปสรรคต่อกระแสเรียกอย่างไรบ้าง มีปัญหาปรึกษาใคร และมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร
ในหนทางแห่งการเป็นสามเณรย่อมมีปัญหาและอุปสรรคบ้าง  แต่ทุกครั้งก็ผ่านไปด้วยดี อาศัยการสวดภาวนาและมอบความไว้วางใจในพระเจ้าเสมอ หลาย ๆ ครั้งคำตอบของปัญหาต่าง ๆ ก็มาทางบุคคลรอบข้าง  โดยเฉพาะเมื่อเกิดปัญหาผมก็มักจะปรึกษาคุณพ่อวิญญาณรักษ์ คุณพ่อที่สนิทคุ้นเคย หรือกับเพื่อนที่สนิทและครอบครัว  ซึ่งก็ขึ้นกับว่าปัญหาที่พบเป็นเรื่องอะไร ในเวลาที่ประสบปัญหา  สิ่งที่ผมคิดอยู่เสมอคือ พระเจ้าต้องการสอนอะไรผม หรือถ้าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์จะทำอย่างไรกับปัญหาเหล่านั้น ซึ่งหลาย ๆ ครั้งปัญหาก็คลี่คลายไปในทางที่ดีกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก สิ่งนี้สอนผมเสมอว่า “พระเจ้ามีแผนการและเป็นคำตอบสำหรับผมเสมอ”

5.วันที่ทราบข่าวว่า ได้รับการเลือกให้รับการบวช ตัดสินใจเขียนจดหมายขอเป็นพระสงฆ์ วันนั้นคิดและรู้สึกอย่างไรบ้าง
 

จริง ๆ แล้วก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ทรงจัดเตรียมผมเพื่อให้เป็นเครื่องมือสำหรับพระองค์ แต่ไม่ได้ตื่นเต้นอะไร  เพราะช่วงเวลาที่ผมอยู่บ้านเณร ผมก็เตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอสำหรับงานต่าง ๆ ของพระเจ้า  เพราะผู้ใหญ่ในบ้านเณรจะย้ำเสมอว่า ชีวิตในบ้านเณรใหญ่แสงธรรมมิใช่ช่วงเวลาที่ฝึกฝนการเป็นเณร  แต่เป็นเวลาของการฝึกฝนชีวิตสงฆ์  สานุศิษย์ติดตามพระเยซูเจ้า ดังนั้นตั้งแต่ตัดสินใจเข้าบ้านเณรใหญ่แสงธรรม  ผมก็มอบชีวิตของผมเป็นเพื่อเป็นพระสงฆ์  และขอบคุณพระเจ้าทรงจัดเตรียมทุกสิ่งเพื่อให้ผมเป็นพระสงฆ์ที่ดีและศักดิ์สิทธิ์

6.มีมุมมองอย่างไรเกี่ยวกับกระแสเรียกพระสงฆ์ในปัจจุบัน

สังคมในปัจจุบันเป็นสังคมที่ท้าทายกระแสเรียกของการเป็นพระสงฆ์ กระแสสังคมไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิต การมีลูกหลานน้อยลง ชีวิตครอบครัวที่ต้องดิ้นรน  ทำให้กระแสเรียกพระสงฆ์ลดน้อยลง  ดังนั้น คริสตชนและพระศาสนจักรต้องให้ความสำคัญกับชีวิตครอบครัว  ซึ่งเป็นพื้นฐานและจุดเริ่มต้นของกระแสเรียกของพระสงฆ์ หากครอบครัวของคริสตชนไม่ดีแล้ว  กระแสเรียกพระสงฆ์ย่อมลดน้อยถอยลงเช่นกัน 

7.คิดว่าพระสงฆ์ที่ดี ควรเป็นอย่างไร
เป็นภาพลักษณ์ของพระคริสตเจ้าบนโลกใบนี้ กล่าวคือ เวลาที่สัตบุรุษมองเห็นพระสงฆ์  เขาได้เห็นพระคริสตเจ้า  ซึ่งแน่นอนว่า พระสงฆ์ยังคงเป็นมนุษย์อยู่ มีความอ่อนแอ แต่พระหรรษทานของพระเจ้ามีเพียงพอเสมอสำหรับพระสงฆ์  โดยเฉพาะผ่านทางมิสซาบูชาขอบพระคุณ

8.คิดว่าสิ่งใด เป็นสิ่งท้าทายการดำเนินชีวิตสงฆ์ มากที่สุด
กระแสสังคมบนโลกปัจจุบัน  และปัญหาสังคมที่มีความซับซ้อนมากขึ้นทุกวัน พระสงฆ์จะทำอย่างไรที่จะไม่หลงไปกับกระแสของโลก  สามารถดำเนินชีวิตบนโลกนี้ โดยที่ไม่ถูกกลืนกิน  ไม่หลงไปกับสิ่งของฝ่ายโลกและวัฒนธรรมแห่งความตาย และสามารถนำประชาสัตบุรุษให้ก้าวไปในหนทางที่ถูกต้อง

9.ในทรรศนะ ของสงฆ์รุ่นใหม่ คิดว่า สิ่งที่พระสงฆ์ควรให้ความสนใจพิเศษ น่าจะเป็นเรื่องอะไรบ้าง

ปัญหาครอบครัวและเยาวชน เพราะเป็นรากฐานและอนาคตของประเทศและพระศาสนจักร การปลูกฝังความเชื่อ ความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ เป็นพันธกิจที่ไม่เพียงพระสงฆ์เท่านั้น แต่ผู้ใหญ่ทุกคนควรให้ความสนใจและทุ่มเทอภิบาลเป็นพิเศษ

10. คิดว่าสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตกระแสเรียกพระสงฆ์ มีอะไรบ้าง
ความอ่อนแอฝ่ายจิตวิญญาณ  การมุ่งแสวงหาและพัฒนาแต่ด้านวัตถุและสิ่งของมากเกินไป หรือความมั่งใจในตนเองจนละเลยต่อความสุภาพที่พระเยซูเจ้าทรงเป็นแบบอย่างไว้ การปล่อยตัวอยู่ในโอกาสของบาป ซึ่งค่อย ๆ ทำให้พระสงฆ์ลืมว่าตนเป็นใคร มีภาระหน้าที่อะไรบนโลกใบนี้

11.ยุคสังคมที่มีความขัดแย้ง  พระสงฆ์ควรมีบทบาท หน้าที่อย่างไร

พระสงฆ์ควรเป็นมโนธรรมให้สังคม ควรรู้ว่าความขัดแย้งต่าง ๆ มีสาเหตุ และส่งเสริมให้ทุกคนช่วยกันแก้ไขสาเหตุเหล่านั้น ส่งเสริมความร่วมมือกันในการแก้ปัญหา  และสอนคริสตชนให้รู้จักแยกแยะระหว่างกิจการกับบุคคล กล่าวคือ ให้อภัยคนที่ผิด แต่ไม่ยอมต่อการกระทำผิด  ซึ่งทำให้สังคมขาดสันติและความสงบที่ยั่งยืน

12.เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันจะมีส่วนช่วยในงานอภิบาล และงานแพร่ธรรม ของพระสงฆ์ ได้อย่างไรบ้าง

เทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้พระสงฆ์สามารถทำงานแพร่ธรรมได้ดีขึ้น สนามงานกว้างมากขึ้น  ในโลกที่ไร้ขอบเขตของสื่อสารมวลชน แต่อย่างไรก็ตาม  สิ่งเหล่านี้ก็เป็นดาบสองคม  ที่หากใช้ไม่ถูกต้องก็อาจนำมาซึ่งหายนะได้ ดังนั้นพระสงฆ์นอกจากใช้สื่อในงานอภิบาลและแพร่ธรรมแล้ว ยังต้องสอนสัตบุรุษให้รู้เท่าทันและใช้สื่อต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง อันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง

13.หลังจากบวชแล้วสิ่งที่ตั้งใจทำลำดับแรกคืออะไร
ประกอบพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณและเตรียมเทศน์อย่างดี

14.มีคติพจน์ว่าอย่างไร และอยากจะฝากขอบคุณใครเป็นพิเศษบ้าง

“ท่านเป็นแสงสว่างส่องโลก” (มธ 5:14)
อยากขอบคุณพระเจ้าที่ประทานทุกสิ่ง ผ่านทางบุคคลรอบข้าง  ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่ช่วยสั่งสอนและหล่อหลอมความเชื่อของผม ขอบคุณพระคุณเจ้าเกรียงศักดิ์ที่โปรดศีลล้างบาปทำให้ผมได้เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง ขอบคุณพระคาร์ดินัลไมเกิ้ลมีชัยและบรรดาคุณพ่อทุกท่านที่เป็นแบบอย่างและส่งเสริมกระแสเรียกของผมเสมอมา ขอบคุณคุณพ่อสุรชัยที่ส่งผมเข้าบ้านเณร และสอนผมหลาย ๆ เรื่องตั้งแต่ผมยังเป็นเด็กช่วยมิสซาที่แสนจะซน ขอบคุณบ้านเณรและผู้ให้การอบรมทุกท่านที่สั่งสอนอบรมจนผมได้เติบโตในความเชื่อมากยิ่งขึ้น ขอบคุณพระสงฆ์และนักบวชทุกท่านที่ได้ช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้เสมอมา ขอบคุณบรรดาสัตบุรุษทุกท่านที่ผมได้รู้จัก ที่ช่วยส่งเสริมกระแสเรียกโดยอาศัยคำภาวนาและความช่วยเหลือต่าง ๆ อีกมากมาย  และขอบคุณเพื่อน ๆ และพี่น้องสามเณรทุกคนที่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันในหนทางแห่งการติดตามพระเยซูเจ้าเสมอมา